ในขณะที่กระบวนการฉีดวัคซีนให้กับประชากรอเมริกันกลุ่มแรก ๆ กำลังดำเนินต่อไป เวลานี้กำลังเกิดความท้าทายขึ้นมาใหม่สำหรับบรรดาเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขของรัฐต่าง ๆ คือการระบุตัวตนของผู้ที่ควรได้รับวัคซีนเป็นชุดแรก ๆ ก่อนกลุ่มอื่น เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีการแซงคิวเกิดขึ้น
ปัจจุบัน บุคลากรการแพทย์และผู้ที่อาศัยและทำงานในสถานดูแลผู้สูงอายุคือกลุ่มที่กำลังได้รับวัคซีนโควิด-19 ซึ่งการระบุตัวตนของบุคคลกลุ่มนี้ไม่ใช่เรื่องยากเพราะส่วนใหญ่ทำงานอยู่ในสถานที่เฉพาะ ได้แก่ โรงพยาบาล ศูนย์การแพทย์ และสถานดูแลผู้สูงอายุต่าง ๆ
แต่หลังจากวันปีใหม่ ชาวอเมริกันกลุ่มอื่น ๆ ที่เรียกว่า "บุคลากรจำเป็น" หรือ Essential Worker จะเป็นกลุ่มต่อไปที่ได้รับวัคซีน ซึ่งปัญหาก็คือ คำจำกัดความของบุคลากรกลุ่มนี้ยังค่อนข้างสับสนว่างานประเภทใดที่เข้าข่าย "งานที่จำเป็น" ซึ่งความไม่ชัดเจนนี้อาจนำไปสู่การทุจริตและไร้ระเบียบของการฉีดวัคซีนได้
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ หรือ CDC คาดการณ์ว่ามีแรงงานราว 30 ล้านคนที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มซึ่งจะได้รับวัคซีนเป็นกลุ่มต่อไป และอีก 57 ล้านคนหลังจากนั้น
เมื่อเดือนมีนาคม กระทรวงความมั่นคงมาตุภูมิของสหรัฐฯ ตีพิมพ์รายชื่องานที่ถูกจัดว่าเป็นงานจำเป็นในช่วงการระบาดของโควิด-19 ซึ่งครอบคลุมเกือบ 70% ของแรงงานทั้งหมดในสหรัฐฯ
และเมื่อช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา หลายรัฐได้จัดทำรายชื่องานที่จำเป็นของรัฐตนเองขึ้นมา โดยใช้บรรทัดฐานที่ต่างกันไปในการระบุว่ากลุ่มใดคือ "บุคลากรจำเป็น" หรือ "บุคลากรแนวหน้า" โดยที่ไม่มีแนวทางกำกับที่ชัดเจน ทำให้เกิดความสับสนในประเด็นที่ว่า งานประเภทเดียวกันอาจถูกจัดเป็นงานจำเป็นในรัฐหนึ่ง แต่ไม่ใช่ในอีกรัฐหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้ เมื่อวันอาิทตย์ที่ผ่านมา คณะผู้เชี่ยวชาญของ CDC ได้มีคำแนะนำว่า ประชากรอายุเกิน 75 ปี รวมทั้งเจ้าหน้าที่และพนักงานในส่วนงานที่เกี่ยวข้องกับการรักษากฎหมาย หน่วยงานฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่ดับเพลิง คุณครู เจ้าหน้าที่ด้านอาหารและการเกษตร อุตสาหกรรมการผลิต ไปรษณีย์ ขนส่งมวลชน และพนักงานร้านซูเปอร์มาร์เก็ตต่าง ๆ ควรเป็นกลุ่มที่ได้รับวัคซีนเป็นกลุ่มต่อไป
ถึงกระนั้น บางรัฐยังคงยืนยันว่าจะใช้บรรทัดฐานเดิมในการฉีดวัคซีนในรัฐของตนเอง และมีเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบด้านการแจกจ่ายวัคซีนที่ออกมาวิจารณ์การกำหนดนโยบายดังกล่าวว่าไม่ถูกต้อง เพราะจะทำให้เกิดการแซงคิวหรือปลอมตัวตนเพื่อขอรับวัคซีนก่อน แทนที่จะเป็นการฉีดวัคซีนตามลำดับอายุของประชากรลดหลั่นกันไป
ปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งคือการรับรองตัวตนของผู้ที่จะรับวัคซีนกลุ่มต่อไปว่าอยู่ในสาขาอาชีพนั้นจริงหรือไม่ โดยเฉพาะในกรณีที่ไปขอรับวัคซีนตามเครือข่ายร้านขายยาต่าง ๆ เช่น CVS หรือ Walgreens ซึ่งปกติแล้วมิได้มีกระบวนการยืนยันอาชีพของผู้ที่เข้ารับการฉีดวัคซีนเพราะจะใช้วิธีตรวจสอบจากบัตรประชาชนหรือใบขับขี่เป็นหลัก
ตัวอย่างเช่น โฆษกของสำนักงานสาธารณสุข รัฐนอร์ธแคโรไลนา ระบุเมื่อวันพฤหัสบดีว่า รัฐนอร์ธแคโรไลนาอาจใช้วิธีให้ผู้ที่จะเข้ารับวัคซีนลงชื่อยืนยันด้วยตัวเอง และหวังว่าประชาชนจะให้ความเคารพในลำดับก่อนหลัง โดยอิงตามหลัก "ความซื่อสัตย์" เป็นอันดับแรก