Your browser doesn’t support HTML5
รัฐบาลประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เดินหน้ายกระดับแผนงานระงับการใช้งานแอพพลิเคชั่นที่พัฒนาโดยจีนและเชื่อว่า “ไม่น่าไว้วางใจ” พร้อมยืนยันแอพ TikTok และ WeChat ของจีน คือภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ของสหรัฐฯ
ไมค์ พอมเพโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันได้ดำเนินการโครงการ Clean Network มาได้สักพัก โดยมีจุดมุ่งหมาย 5 ประการ ซึ่งรวมถึงการป้องกันแอพสัญชาติจีนที่มีอยู่มากมาย รวมทั้งบริษัทโทรคมนาคมสัญชาติจีน ไม่ให้เขาถึงข้อมูลที่มีความอ่อนไหวเกี่ยวกับพลเมืองและธุรกิจอเมริกัน
คำประกาศของรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ครั้งนี้ มีออกมาเมื่อวันพุธตามเวลาท้องถิ่น และหลังประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ที่จะห้ามใช้งานแอพ TikTok ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในสหรัฐฯ หลังจากแอพนี้ตกเป็นเป้าของสมาชิกสภาคองเกรสและรัฐบาลปธน.ทรัมป์ จากกรณีความกังวลด้านความมั่นคงภายในประเทศ ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกรุงวอชิงตันและรัฐบาลกรุงปักกิ่งยังตึงเครียดอยู่ในเวลานี้
รมต.พอมเพโอ ย้ำว่า บริษัทที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศจีน เช่น TikTok และ WeChat รวมทั้งรายอื่นๆ ล้วนเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ต่อข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนชาวอเมริกัน ทั้งยังเป็นเครื่องมือสำหรับพรรคคอมมิวนิสต์จีนให้ทำการเซนเซอร์ข้อมูลต่างๆ อีกด้วย
ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ประกาศแล้วว่า TikTok มีเวลาถึงวันที่ 15 กันยายนนี้ ให้บรรลุข้อตกลงขายกิจการในสหรัฐฯ ให้กับไมโครซอฟท์ มิฉะนั้น จะต้องถูกระงับการให้บริการทันที
นอกจากประเด็นนี้แล้ว รมต.พอมเพโอ เปิดเผยด้วยว่า สหรัฐฯ กำลังร่วมทำงานกับหลายฝ่ายในการปิดกั้นไม่ให้ Huawei Technologies บริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของจีน เข้ามาเปิดการให้บริการติดตั้งล่วงหน้าหรือให้ดาวน์โหลด์แอพพลิเคชั่นยอดนิยมต่างๆ ของสหรัฐฯ ลงบนอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือที่บริษัทผลิต
ยิ่งไปกว่านั้น กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ จะร่วมมือกับหน่วยงานรัฐอื่นๆ ในการปกป้องข้อมูลของพลเมืองอเมริกันและทรัพย์สินทางปัญญาของอเมริกา ซึ่งรวมถึง งานวิจัยวัคซีนต้านโควิด-19 ไม่ให้ขึ้นระบบคลาวด์ของบริษัทสัญชาติจีนทั้งหลาย อาทิ อาลีบาบา ไป่ตู้ (Baidu) China Mobile และ China Telecom รวมทั้ง เทนเซนต์ (Tencent) ซึ่งเป็นเจ้าของแอพ WeChat รวมทั้ง การดำเนินการยกเลิกใบอนุญาตให้ผู้ประกอบการโทรคมนาคมจีน ทั้ง China Telecom และบริษัทอื่นอีก 3 แห่ง ในการให้บริการในสหรัฐฯ ด้วย
แถลงการณ์จากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า การดำเนินการโครงการ Clean Network นั้นคืบหน้าไปมาก และได้ขยายไปยังกว่า 30 ประเทศและเขตการปกครองทั่วโลกแล้ว