ทำเนียบขาวยังคงยืนยันความเห็นของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่กล่าวว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนนั้นเป็นผู้นำเผด็จการ
เจ้าหน้าที่อาวุโสรายหนึ่งของรัฐบาลปธน.ไบเดน ระบุในแถลงการณ์ที่ส่งมายัง วีโอเอ ในวันพุธ ว่า “มันไม่ควรเป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่ท่านประธานาธิบดีพูดตรงไปตรงมาเกี่ยวกับจีนและความแตกต่างจากเรา – เราไม่ได้พูดเช่นนั้นเพียงลำพังแน่ ๆ”
ระหว่างร่วมงานเลี้ยงระดมทุนในรัฐแคลิฟอร์เนียสำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2024 เมื่อค่ำวันอังคาร ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวว่า ปธน.สี จิ้นผิง ไม่ทราบเรื่องบอลลูนสอดแนมที่ลอยเข้ามาในน่านฟ้าสหรัฐฯ และรู้สึกอับอายเมื่อบอลลูนดังกล่าวถูกยิงตก เมื่อช่วงต้นปีนี้
ปธน.ไบเดน กล่าวว่า “นั่นคือความอับอายครั้งใหญ่สำหรับผู้นำเผด็จการ” และว่า “เมื่อตอนมันถูกยิงตก เขารู้สึกอับอายมาก เขาปฏิเสธว่า [มีบอลลูน] อยู่ตรงนั้น”
SEE ALSO: พลิกอารมณ์! จีนซัด 'ไบเดน' เรียก 'สี จิ้นผิง' เป็น 'ผู้นำเผด็จการ' ไม่นานหลังเจรจาสหรัฐฯ-จีน
หลังมีรายงานคำพูดของผู้นำสหรัฐฯ ออกมา กระทรวงการต่างประเทศจีนก็ออกมาโต้กลับทันที โดยระบุว่า คำพูดของไบเดนนั้น “ละเมิดศักดิ์ศรีทางการเมืองของจีนอย่างรุนแรงและถือเป็นการยั่วยุงทางการเมืองในที่สาธารณะด้วย”
เหมา หนิง โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน กล่าวระหว่างการแถลงข่าวในวันพุธว่า “คำพูดที่ว่ามาจากฝั่งสหรัฐฯ นั้นเป็นเรื่องไร้สาระและไร้ความรับผิดชอบอย่างยิ่ง ทั้งยังเป็นการละเมิดความเป็นจริงพื้นฐาน หลักปฏิบัติทางการทูต และศักดิ์ศรีทางการเมืองของจีน ... จีนนั้นไม่พอใจอย่างสูง[ต่อเรื่องนี้] และขอคัดค้านประเด็นนี้อย่างที่สุด”
ทั้งนี้ สื่อไม่ได้รับอนุญาตให้บันทึกภาพหรือเสียงจากงานระดมทุนดังที่จัดขึ้นในรัฐแคลิฟอร์เนีย แต่ทำเนียบขาวเองเป็นฝ่ายที่แจกจ่ายบันทึกคำพูดของไบเดนให้สื่อ
ความเห็นดังกล่าวของไบเดนกลายมาเป็นสิ่งที่ถูกจับตาเป็นพิเศษ เพราะมีออกมาเพียงวันเดียวหลังจากรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ แอนโทนี บลิงเคน เดินทางเยือนกรุงปักกิ่งเพื่อรักษาสัมพันธ์กับจีนที่อยู่ในระดับตกต่ำที่สุดนับตั้งแต่สองชาติได้ก่อร่างสร้างสัมพันธ์กันมาอย่างเป็นทางการ
SEE ALSO: 'บลิงเคน-สี' ตกลงเสริมสัมพันธ์เข้มแข็งสหรัฐฯ-จีน
แม้การเยือนจีนของรมต.ต่างประเทศสหรัฐฯ จะไม่ได้จบลงด้วยความความสำเร็จครั้งใหญ่ใด ๆ บลิงเคนและสี จิ้นผิง ต่างตกลงที่จะเดินหน้ารักษาระดับการแข่งขันของสองประเทศให้มีเสถียรภาพเพื่อที่จะไม่ได้มีการยกระดับกลายมาเป็นความขัดแย้งใด ๆ
ทำเนียบขาวปฏิเสธรายงานที่ว่า ความเห็นของไบเดนนั้นเป็นสิ่งที่ออกมาขวางความพยายามของบลิงเคนที่จะใช้หนทางการทูตเสริมสร้างความสัมพันธ์กับจีน และ เวแดนท์ พาเทล โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวในวันพุธว่า “เราจะเดินหน้าจัดการความสัมพันธ์นี้ [และ] คงไว้ซึ่งช่องทางการสื่อสารกับจีนอย่างมีความรับผิดชอบ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า เราจะไม่พูดเปิดเผยและตรงไปตรงมาเกี่ยวกับประเด็นความแตกต่างระหว่างสองประเทศ”
แรงกดดันภายในประเทศ
ไบเดนนั้นกำลังเผชิญแรงกดดันจากสมาชิกพรรครีพับลิกันในสภาคองเกรสที่พยายามนำเสนอภาพของรัฐบาลชุดปัจจุบันว่า ยอมอ่อนข้อให้จีนและชี้ว่า ความพยายามแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์กับจีนนั้นเป็นเหมือนการเอาใจจีนมากกว่า
ส.ส. ไมค์ แมคคอล ประธานคณะกรรมาธิการกิจการระหว่างประเทศสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ระบุในแถลงการณ์ว่า “รัฐบาลไบเดนระงับใจไม่ใช้วิธีการด้านความมั่นคงแห่งชาติเพียงเพื่อหาทางพูดคุยกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน”
และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว วุฒิสมาชิกสังกัดพรรครีพับลิกันจำนวนหนึ่งส่งจดหมายเรียกร้องให้ไบเดนออกมารับผิดชอบต่อการประเมินสถานการณ์เกี่ยวกับบอลลูนสายลับของจีนของรัฐบาล พร้อมแสดงความหงุดหงิดเกี่ยวกับการที่รัฐบาล “ล้มเหลวในการเผชิญหน้ากับภัยคุกคามอันอุกอาจของจีนต่อความมั่นคงและอธิปไตยของอเมริกา”
ไมเคิล สเวน นักวิจัยอาวุโสจาก Quincy Institute for Responsible Statecraft บอกกับ วีโอเอ ว่า “พวกรีพับลิกันจะไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ง่าย ๆ เพราะมันทำให้พวกเขามีประเด็นเพิ่มมาอัด[รัฐบาลไบเดน]”
ความตึงเครียดที่ยกระดับเพิ่ม
ประเด็นวาทศิลป์ของสหรัฐฯ และจีนครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความท้าทายต่อความพยายามลดความตึงเครียดและการกลับมาเปิดช่องทางสื่อสารระหว่างสองประเทศคู่แข่งนี้
แซ็ค คูเปอร์ นักวิชาการอาวุโสจาก American Enterprise Institute กล่าวว่า “ถ้าการกลับมาทำงานร่วมกัน[ระหว่างสหรัฐฯ และจีน] จะตามมาด้วยการวิพากษ์วิจารณ์ตรง ๆ ใส่กันจากเจ้าหน้าที่อาวุโสของทั้งสองฝ่าย ผมคิดว่า ทางจีนน่าจะถามว่า แล้วจะกลับมาทำงานร่วมกันทำไมตั้งแต่แรก” และว่า “ผมคิดว่า กรุงปักกิ่งและกรุงวอชิงตันน่าจะมีปัญหาความยากลำบากในการสื่อสารระหว่างกันในช่วง 2-3 วันและ 2-3 จากนี้แล้ว”
ขณะเดียวกัน มอสโกก็ออกมาประณามความเห็นของไบเดนในครั้งนี้ด้วย
ทำเนียบเครมลินกล่าวในวันพุธว่า ความเห็นนี้สะท้อนให้เห็นถึง นโยบายต่างประเทศ “อันคาดเดาไม่ได้” ของรัฐบาลสหรัฐฯ โดย ดมิทรี เพสคอฟ โฆษกเครมลินกล่าวว่า “นี่เป็นการแสดงออกถึงความย้อนแย้งของนโยบายต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งชี้ให้เห็นว่า มีองค์ประกอบสำคัญเกี่ยวกับการคาดเดาไม่ได้อยู่”
- ที่มา: วีโอเอ