Your browser doesn’t support HTML5
เมื่อไม่นานมานี้ รัฐบาลสหรัฐฯ เดินหน้านโยบายและแสดงจุดยืนที่แข็งขันมากขึ้นในการทัดทานอำนาจของรัฐบาลจีนทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก ผ่านยุทธวิธีด้านการทูต การค้า และทางทหาร
ล่าสุด มาร์ค เอสเปอร์ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ยืนยันในวันอังคารว่า กองทัพสหรัฐฯ มีศักยภาพและความพร้อมทางทหารอยู่ทั่วไปในเอเชีย ที่พร้อมจะเผชิญหน้ากับจีน และจะส่งเรือรบเพิ่มเติมเข้าไปในภูมิภาคนี้เพื่อแสดงจุดยืนทัดทานนโยบายขยายอำนาจจีน รวมทั้งประกาศแผนขายอาวุธให้กับไต้หวัน ซึ่งรัฐบาลกรุงปักกิ่งยืนยันมาตลอดว่าเป็นส่วนหนึ่งของจีน โดยรัฐบาลประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้อนุมัติแผนขายอาวุธมูลค่า 10,000 ล้านดอลลาร์ให้ไต้หวัน ซึ่งรวมถึงยุทโธปกรณ์มูลค่า 180 ล้านดอลลาร์ที่เพิ่งขายไปเมื่อเดือนพฤษภาคมด้วย
รมต.เอสเปอร์ ยังระบุด้วยว่า จีนทำการข่มเหงระรานพันธมิตรและหุ้นส่วนของตนในภูมิภาคเอเชียมาเป็นเวลานาน โดยมีเม็ดเงินรายได้จากอุตสาหกรรมน้ำมันและแก๊สนอกชายฝั่งที่สูงถึง 2.6 ล้านล้านดอลลาร์เป็นตัวประกัน แม้ว่าสหรัฐฯ จะส่งกองกำลังทหารเข้าไปประจำในภูมิภาคมากขึ้นแล้วก็ตาม
รมต.เอสเปอร์ กล่าวว่า นโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดปัจจุบัน มีเป้าหมายมุ่งเน้นการส่งเสริมวิสัยทัศน์อินโด-แปซิฟิกที่เสรีและเปิดกว้าง เพื่อให้ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้รุ่งเรืองและมีสันติ พร้อมๆ กับย้ำให้รัฐบาลกรุงปักกิ่งรับรู้ว่า จีนไม่มีสิทธิ์ที่จะยึดเอาน่านน้ำสากลมาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรของตนเพียงผู้เดียวด้วย
ทั้งนี้ คำประกาศของรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ นี้มีออกมาหลังสหรัฐฯ ออกมาโต้จีนอย่างเป็นทางการว่า ความพยายามยึดพื้นที่ในทะเลจีนใต้นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ เป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลระดับสูงคนล่าสุดที่ออกมาให้ความเห็นอย่างเปิดเผย เกี่ยวกับความท้าทายที่รัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนหยิบยื่นให้กับสหรัฐฯ และที่อาจส่งผลกระทบความสงบเรียบร้อยในประชาคมโลก
หลายเดือนที่ผ่านมา สมาชิกในรัฐบาลสหรัฐฯ นำโดยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ วิพากษ์วิจารณ์จีนหลายกรณี อาทิ เรื่องที่มาของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ และการรับมือกับการระบาดของโควิด-19 ก่อนจะเปิดศึกกดดันรัฐบาลกรุงปักกิ่งผ่านหลายช่องทาง ตั้งแต่การประกาศจัดเก็บภาษีสินค้าจีน ไปจนถึง การคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่รัฐและพนักงานบริษัทเอกชนของจีนหลายแห่ง
และเมื่อวันอังคารที่เพิ่งผ่านไป กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เพิ่งส่งเรื่องต่อศาลฟ้องร้องชาวจีน 2 ราย ที่ถูกกล่าวหาว่าร่วมมือกับหน่วยงานสายลับจีน ในการเจาะระบบเพื่อขโมยทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ เช่น ข้อมูลด้านกลาโหม รายละเอียดงานวิจัยเกี่ยวกับโคโรนาไวรัส ข้อมูลด้านยา รวมทั้งข้อมูลอื่นๆ จากบริษัทหลายแห่งทั่วโลก ซึ่งรวมถึง อังกฤษ เยอรมนี ออสเตรเลีย และเบลเยียม ขณะที่ จอห์น ดีเมอร์ส รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า จีนได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มประเทศที่ให้การพักพิงแก่อาชญากรไซเบอร์ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการขโมยทรัพย์สินทางปัญญาให้ตนเองด้วย
นอกจากนั้น ไมค์ พอมเพโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เพิ่งเดินทางไปกรุงลอนดอน เพื่อพบกับผู้บริหารของรัฐบาลอังกฤษ อาทิ บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรี และ โดมินิค ราบ รัฐมนตรีว่ากระทรวงต่างประเทศ และถกประเด็นความท้าทายจากรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีน รวมถึงประเด็นการระบาดใหญ่ของโควิด-19 และสถานการณ์ในฮ่องกงหลังจีนประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่เพื่อปราบปรามการประท้วงต่อต้านรัฐบาล
รมต.พอมเพโอ บอกกับผู้สื่อข่าวว่า ตนได้แสดงความชื่นชมต่อรัฐบาลอังกฤษที่ตัดสินใจห้ามบริษัทเทคโนโลยี หัวเหว่ย เข้าร่วมโครงการพัฒนาเครือข่าย 5G ซึ่งเกิดขึ้นหลังสหรัฐฯ ทำการวิ่งเต้นโน้มน้าวอังกฤษให้ทำการดังกล่าวมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว
หากสหรัฐฯ จะทำการใดๆ ต่อจากนี้ เพื่อตอกย้ำจุดยืนต่อต้านอิทธิพลของจีน ก็คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอีกต่อไป ขณะที่ทั่วโลกคงได้แต่หวังว่า ความสัมพันธ์อันตึงเครียดระหว่างมหาอำนาจทั้งสองนี้ จะมีทางออกอย่างสันติ ซึ่งยังมีความหวังอยู่ หาก รมต.เอสเปอร์ ของสหรัฐฯ สามารถเดินทางไปเยือนกรุงปักกิ่งอย่างเป็นทางการครั้งแรกภายในสิ้นปีนี้ ตามที่บอกกับผู้สื่อข่าวไว้ โดยการเยือนนี้ยังจะเป็นครั้งแรกของเจ้ากระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ในรอบ 2 ปี ด้วย