เมื่อ 60 ปีก่อนเด็กๆ มีสัดส่วนมากกว่าหนึ่งในสาม หรือ 36% ของประชากรสหรัฐฯ แต่ทุกวันนี้ตัวเลขดังกล่าวคือ 22% ซึ่งจำนวนนี้ลดลงเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้
สำนักงานสำมะโนประชากรสหรัฐฯ ไม่ได้คาดหวังว่าประชากรเด็กจะลดต่ำลงไปขนาดนั้น จนกระทั่งถึงปีพ.ศ. 2573 แต่เรื่องนี้ก็เกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้มากกว่าสิบปี
เมื่อปีที่แล้วอัตราการเกิดในสหรัฐฯ ลดลงเป็นจำนวนต่ำสุดในรอบ 32 ปี การเกิดของทารกในปีพ.ศ. 2561 นั้นลดลง 2% จากปีพ.ศ. 2560 ซึ่งนับว่าเป็นอัตราการเกิดของทารกในสหรัฐฯ ที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปีพ.ศ. 2529 เป็นต้นมา
ทั้งนี้ อัตราการให้กำเนิดบุตรลดลงในทุกกลุ่มเชื้อชาติและผู้หญิงที่อายุต่ำกว่า 35 ปีในขณะที่อัตรานี้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในกลุ่มผู้หญิงช่วงอายุ 30 ตอนปลาย และ 40 ตอนต้น
ศูนย์ข้อมูลเด็กของมูลนิธิ Annie E. Casey ระบุว่า ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2533 อัตราประชากรเด็กของสหรัฐฯ ได้ลดลงในทั้ง 50 รัฐตลอดจน District of Columbia หรือ DC ด้วย
รัฐที่มีประชากรเด็กลดลงมากที่สุดคือเมน นิวแฮมป์เชียร์ และเวอร์มอนต์ ซึ่งลดลงจาก 25% ในปี พ.ศ. 2533 เป็น 19% ในปีพ.ศ. 2561
นิวเจอร์ซีย์ ประสบปัญหานี้น้อยที่สุด ในปี พ.ศ. 2533 รัฐนี้มีประชากรเด็กคิดเป็นอัตราส่วน 23% ของประชากรทั้งหมด และในปีพ.ศ. 2018 มีอัตรานี้ 22%
ในขณะเดียวกันประชากรผู้ใหญ่โดยรวมยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปีพ.ศ. 2552
อย่างไรก็ดี อัตราการเกิดที่ลดลงนั้น อาจเนื่องมาจากการที่คนหนุ่มสาวชาวอเมริกันในช่วงวัย 20 และ 30 ปีซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ในปีพ.ศ. 2550-2552 กำลังพยายามฟื้นตัวทั้งในเรื่องอาชีพและการเงิน ทำให้ต้องเลื่อนเวลาการสร้างครอบครัวออกไป
ในขณะเดียวกันประชากรสูงอายุในสหรัฐฯ ก็ยังคงมีจำนวนเพิ่มขึ้น ภายในปีพ.ศ. 2573 คนยุค Baby Boomers ทั้งหมดหรือผู้ที่เกิดระหว่างปีพ.ศ. 2489 ถึงพ.ศ. 2507 จะมีอายุมากกว่า 65 ปีซึ่งหมายความว่าประชากร 1 คนในทุกๆ 5 คน จะถึงวัยเกษียณอายุ
แนวโน้มด้านประชากรสองเรื่องนี้อาจสร้างปัญหา เพราะพลเมืองอาวุโสของสหรัฐฯ จะต้องการคนงานรุ่นใหม่จำนวนมากเพื่อช่วยสนับสนุนโครงการความมั่นคงปลอดภัยทางเศรษฐกิจเช่นประกันสังคมซึ่งมีขึ้นเพื่อจัดหารายได้ต่อเนื่องให้แก่คนงานที่เกษียณอายุ