รายงานการศึกษาชิ้นใหม่ของกองทุน United Nations Population Fund แห่งสหประชาชาติ ระบุว่า ปัจจุบันจำนวนทารกที่เกิดจากมารดาหนึ่งคนลดลงเกือบครึ่งหนึ่งมาอยู่ที่ 2.5 เทียบกับเมื่อ 50 ปีก่อน
อย่างไรก็ตาม ยังมีสตรีกว่า 200 ล้านคนทั่วโลกที่ตั้งท้องโดยไม่ได้ต้องการมีครรภ์ เนื่องจากไม่สามารถเข้าถึงยาคุมกำเนิดแผนปัจจุบันได้
นอกจากนี้ แต่ละวันมีสตรีมีครรภ์เสียชีวิต 800 ราย จากเหตุที่สามารถป้องกันได้ ตามรายงานของ United Nations Population Fund หรือ UNFPA
โมนิกา เฟอร์โร ผู้อำนวยการขององค์กรนี้ กล่าวว่า ความไม่เท่าเทียมกันทางเพศเป็นอุปสรรคที่มีผลกระทบต่อคนทุกกลุ่ม เธอกล่าวด้วยว่า บรรทัดฐานและทัศนคติที่ไม่เท่าเทียมกัน มักถูกใช้เพื่อลดทอนสิทธิ์ทางเพศและสิทธิ์ต่อการตัดสินใจตั้งครรภ์ของสตรี
เธอกล่าวว่าความไม่เท่าเทียกันทางเพศเป็นอุปสรรคต่อสตรีในการตัดสินใจอย่างเสรีว่าผู้หญิงต้องการมีเพศสัมพันธ์กับใครและเมื่อใด
ความไม่เท่าเทียมกันดังกล่าวยังเกี่ยวข้องกับสิทธิ์การใช้ยาคุมกำเนิดและการรับการดูเเลสุขภาพ และเรื่องนี้ส่งผลถึงความพร้อมในการทำงานและการศึกษาขั้นสูง
รายงานของ UNFPA กล่าวว่า ความเหลื่อมล้ำทางเพศที่กล่าวมากระทบกับสตรีหลายร้อยล้านคนทั่วโลก โดยกลุ่มเสี่ยงคือประชากรสตรีและเด็กหญิงในชนบท ที่ยากจนและขาดโอกาสทางการศึกษา
ข้อมูลระบุด้วยว่า สองในสามของสตรีที่เสียชีวิตขณะตั้งท้อง อยู่ในประเทศที่อยู่ด้านล่างของทะเลทรายซาฮาราในทวีปแอฟริกา
โมนิกา เฟอร์โร ให้สัมภาษณ์กับวีโอเอว่า สตรีผู้ประสบปัญหาเรื่องความไม่เท่าเทียมกันทางเพศน้อยที่สุด อยู่ในประเทศที่ให้ความสำคัญและมีการลงทุนในนโยบายและโครงการที่ส่งเสริมความเท่าเทียมกันทางเพศ ซึ่งส่วนมากเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว
ผู้อำนวยการ UNFPA กล่าวว่า เมื่อพิจารณาถึงประเทศที่มีความท้าทายมากที่สุด จะพบว่าสตรีในประเทศเหล่านี้เผชิญกับสิ่งกีดกั้น ในการเข้าถึงการดูเเลด้านสุขภาพ ซึ่งหากดูในรายละเอียดจะพบปัญหาที่เฉพาะเจาะจงในเรื่องเศรษฐกิจและความความเลื่อมล้ำด้านต่างๆ
หน่วยงาน UNFPA ตั้งเป้าตามจุดประสงค์ด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ ที่มีเงื่อนเวลาที่ต้องบรรลุแผนในปี ค.ศ. 2030 หรืออีก 11 ปีจากนี้
งานที่ UNFPA ตั้งเป้าหมายไว้มีเรื่อง การลดการเสียชีวิตขณะตั้งครรภ์จากสาเหตุที่ป้องกันได้ให้หมดไป แผนสร้างโอกาสอย่างทั่วถึงในเรื่องการวางแผนครอบครัว และรณรงค์ต่อต้านความรุนแรงต่อสตรีและเด็กหญิง