จนท.ระดับสูงด้านความมั่นคงเตือนชาวอเมริกันอาจไม่รู้ผลเลือกตั้งปีนี้เร็วเหมือนที่เคย

Virus Outbreak US Primaries

อีกไม่ถึงสองเดือนก็จะถึงวันเลือกตั้งทั่วไปในสหรัฐ 3 พฤศจิกายนและนายคริสโตเฟอร์ เครป ผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงปลอดภัยด้านโครงสร้างพื้นฐานและระบบคอมพิวเตอร์ของสหรัฐเตือนว่าการเลือกตั้งของสหรัฐปีนี้มีภัยคุกคามและความเสี่ยงจากการเผยแพร่ข่าวลวงและข้อมูลเท็จจากฝ่ายที่เป็นศัตรูของสหรัฐ

แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้อำนวยการของหน่วยงานชื่อ US Cybersecurity and Infrastructure Security Agency ได้เตือนเรื่องความพยายามสร้างความปั่นป่วนและความสับสนวุ่นวายทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐก็ตาม

แต่ครั้งนี้ นายคริสโตเฟอร์ เครป เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐเตือนด้วยว่า คนอเมริกันอาจจะไม่รู้ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีในคืนวันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน หรือแม้กระทั่งในช่วงเช้าของวันพุธที่ 4 พฤศจิกายน ตามที่เคยคาดกัน

โดยเหตุผลหนึ่งของเรื่องนี้ คือ การระบาดของโควิด-19 ทำให้คาดว่าปีนี้ชาวอเมริกันจะส่งบัตรเลือกตั้งทางไปรษณีย์มากขึ้น แต่เนื่องจากกฎเกณฑ์เรื่องการรับและนับบัตรเลือกตั้งทางไปรษณีย์ในแต่ละมลรัฐของสหรัฐนั้นแตกต่างกันไป อย่างเช่นมีอย่างน้อย 15 รัฐ ที่จะไม่เริ่มนับบัตรเลือกตั้งทางไปรษณีย์ จนกว่าคูหาเลือกตั้งในรัฐของตนจะปิดลง ดังนั้นจึงเป็นที่คาดได้ว่าอาจไม่สามารถทราบผลการเลือกตั้งได้อย่างรวดเร็ว

และวันนี้ทนายความผู้เชี่ยวชาญเรื่องกฎหมายเลือกตั้งคนหนึ่งของพรรครีพับลิกันให้ความเห็นกับ CNN ว่า ถ้าพิจารณาจากสิ่งที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 4 ปีที่แล้ว เกี่ยวกับการยื่นคำร้องขอให้นับคะแนนใหม่ในบางรัฐที่สำคัญ เช่น รัฐเพนซิลเวเนีย ก็มีความเป็นไปได้ว่าหากผลการลงคะแนนออกมาคู่คี่กัน การยืนยันว่าใครเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีนั้นอาจจะต้องล่าช้าออกไปจนถึงวันที่ 1 ธันวาคมได้

เกี่ยวกับการเลือกตั้งอีกด้านหนึ่ง เมื่อวันอังคาร ประธานาธิบดีทรัมป์ไปกล่าวปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งในรัฐนอร์ทแคโรไลนา ซึ่งเป็นรัฐหนึ่งที่มีความสำคัญและต้องช่วงชิงชัยชนะ หรือที่เรียกว่า battleground state

โดยรายงานระบุว่า มีผู้ไปร่วมฟังการปราศรัยที่สนามบินของรัฐนอร์ทแคโรไลนาราว 15,000 คน แต่ผู้สื่อข่าวรายงานว่ากลุ่มคนที่ไปฟังคำปราศรัยของประธานาธิบดีทรัมป์ส่วนใหญ่ไม่สวมหน้ากากและไม่เว้นระยะห่าง ซึ่งขัดกับกฎของรัฐที่ห้ามการชุมนุมกลางแจ้งมากกว่า 50 คน และกำหนดให้ต้องสวมหน้ากากรวมทั้งต้องเว้นระยะห่างด้วย

อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวว่า ฝ่ายหาเสียงของตนได้พบช่องโหว่เกี่ยวกับกฎเกณฑ์เรื่องนี้ และไม่ได้ฝ่าฝืนคำสั่งห้ามของทางรัฐแต่อย่างใด เพราะตัดสินใจเรียกการชุมนุมครั้งนี้ว่าเป็นการชุมนุมประท้วงอย่างสงบ ซึ่งก็เป็นการพาดพิงหรือเปรียบเทียบกับการชุมนุมของผู้ต่อต้านการแบ่งแยกผิวที่เคยมีขึ้นก่อนหน้านี้ในเมืองต่างๆ และผู้ชุมนุมบางคนก็ไม่สวมหน้ากากเช่นกัน

ในส่วนของตัวแทนพรรคเดโมแครตเอง วันนี้ อดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดนกล่าวระหว่างการหาเสียงที่รัฐมิชิแกนว่า ตนจะปกป้องงานสำหรับคนอเมริกันด้วยการขึ้นภาษีกับบริษัทต่างๆ ที่ส่งงานไปนอกประเทศ หรือจ้างบริษัทในต่างประเทศให้ทำงานแทน

ตัวแทนของพรรคเดโมแครตให้สัญญาด้วยว่า หากได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี ตนจะลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารในสัปดาห์แรก เพื่อกำหนดให้รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ต้องจัดซื้อและจัดจ้างสินค้าและคนงานอเมริกัน รวมทั้งจะให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีแก่บริษัทใดๆ ที่ลงทุนในสหรัฐ เช่น การกลับมาเปิดโรงงานที่ต้องปิดตัวลงหรือเรียกงานในต่างประเทศกลับคืนมาให้คนงานชาวอเมริกัน