Your browser doesn’t support HTML5
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของสหรัฐฯ เตือนว่า จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศอาจจะกลับมาพุ่งสูงอีกครั้งในเร็วๆ นี้ หลังประชาชนจำนวนมากทั่วประเทศออกมาชุมนุมประท้วงในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ซึ่งเห็นได้ว่า ไม่มีการปฏิบัติตามหลักการรักษาระยะห่างระหว่างกันเลย
ผู้ว่าการรัฐมินนิโซตา ทิม วอลซ์ บอกกับผู้สื่อข่าวเอพี ว่า ขณะที่หลายคนอาจเหมือนจะลืมไปแล้ว แต่ตนต้องขอย้ำกับประชาชนว่า ทุกคนยังอยู่ในช่วงภาวะการระบาดใหญ่ทั่วโลกของโควิด-19 อยู่ และโรงพยาบาลในรัฐฯ เองก็ยังทำงานอย่างหนักจนใกล้เกินกำลังที่จะดูแลผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้แล้ว
ขณะเดียวกัน นายกเทศมนตรีเมืองแอตแลนตา เคอิชา แลนซ์ บอททอม กล่าวว่า สถานการณ์การระบาดใหญ่นั้นยังคงมีผลกระทบต่อชนกลุ่มน้อยในประเทศซึ่งหมายถึง กลุ่มคนผิวสีและกลุ่มผู้ที่มีเชื้อสายเม็กซิโกและผู้ที่พูดภาษาสเปน ในระดับที่รุนแรงกว่าประชาชนทั่วไปต้องเผชิญอยู่ พร้อมเรียกร้องผู้ที่เข้าร่วมการชุมนุมในแอตแลนต้าในช่วงที่ผ่านมา ให้เข้ารับการตรวจโควิด-19 ด้วย
และแม้ผู้เข้าร่วมประท้วงจำนวนมากจะแสดงความกังวลเกี่ยวกับการติดเชื้อไวรัส หลายคนกล่าวว่า การที่ประชาชนต้องออกมาแสดงจุดยืนเรียกร้องความเป็นธรรมเกี่ยวกับการกระทำที่รุนแรงและเป็นการเหยียดผิวโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นเช่นกัน
ข้อมูลจาก มหาวิทยาลัยจอห์นส ฮอพกินส์ ณ บ่ายวันอาทิตย์ ระบุว่า มีชาวอเมริกันติดเชื้อโควิด-19 แล้วกว่า 1.7 ล้านคน ส่วนตัวเลขผู้เสียชีวิตนั้นอยู่ที่ราว 104,000 คน ซึ่งทำให้สหรัฐฯ ยังคงเป็นประเทศที่มีการติดเชื้อและเสียชีวิตสูงสุดในโลกต่อไป
รายงานข่าวระบุว่า แม้จะยังไม่มีตัวเลขที่สมบูรณ์เกี่ยวกับอัตราการติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐฯ การศึกษาวิจัยล่าสุดชี้ว่า ชาวอเมริกันผิวสีนั้นเสียชีวิตจากการติดเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ในอัตราที่สูงกว่าชาวอเมริกันผิวขาวมาก โดยข้อมูลติดตามสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 แสดงให้เห็นว่า ขณะที่ชาวอเมริกันผิวสีมีสัดส่วนราว 13 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งประเทศ อัตราการเสียชีวิตชองคนเชื้อสายนี้สูงถึง 25 เปอร์เซ็นต์ของการเสียชีวิตเพราะโควิด-19 ทั่วประเทศแล้ว
ความกังวลต่อทิศทางการระบาดของไวรัสนี้เพิ่มสูงขึ้น เมื่อเหตุการณ์ประท้วงทั่วสหรัฐฯ แผ่ขยายและมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ในช่วงที่ทุกรัฐกำลังผ่อนคลายมาตรการควบคุมและป้องกันการระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ที่ทำให้ชาวอเมริกันจำนวนมากสามารถเข้าร่วมพิธีกรรมในโบสถ์เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน ในวันอาทิตย์นี้ และเปิดโอกาสให้คนอีกมากมายสามารถไปพักผ่อนตามชายหาด ใช้บริการร้านเสริมสวย หรือรับประทานอาหารที่ร้านอาหารและภัตตาคารได้แล้ว
อย่างไรก็ดี สถานการณ์ความวุ่นวายในสหรัฐฯ นั้น เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ผู้เกี่ยวข้องกับการระบาดของโควิด-19 ต้องกังวลกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เพราะเหตุประท้วงได้เกิดขึ้นไปก่อนหน้าในประเทศอื่น เช่น ฝรั่งเศสที่มีการประท้วงเรียกร้องให้ทางการพิจารณาความเป็นธรรมเกี่ยวกับสถานการณ์การทำงานในช่วงนี้ที่เสี่ยงอันตราย ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจฝรั่งเศสต้องเข้าสลายการชุมนุมที่ละเมิดคำสั่งห้ามการชุมนุมของคนกลุ่มใหญ่ด้วยการใช้แก๊สน้ำตา รวมทั้งการชุมนุมประท้วงในฮ่องกงเพื่อต่อต้านการผ่านร่างกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ ที่มีการใช้แก๊สน้ำตาเพื่อสลายฝูงชนจำนวนมากเช่นกัน
มาร์ค วูลเฮาส์ ศาสตราจารย์ด้านโรคติดต่อ แห่งมหาวิทยาลัยเอดินบะระ บอกกับผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ เดอะ การ์เดียน ของอังกฤษ ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และโคโรนาไวรัสนั้นอาจจะกลายมาเป็น “ความสัมพันธ์ระยะยาวชั่วชีวิต” ในที่สุด และหากไม่มีการพัฒนาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพออกมา ขณะที่ผู้คนเริ่มละเลยการรักษาระยะห่างทางสังคม “คลื่นการระบาดลูกที่สอง (ของโควิด-19) ก็คือ “ภยันอันตรายอันชัดแจ้งที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกขณะ” แล้ว