Your browser doesn’t support HTML5
ในช่วงที่หลายเดือนที่ผ่านมา ที่วิกฤตการระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ในสหรัฐฯ ขยายตัวไปทั่ว จนทำให้ทางการในหลายรัฐต้องสั่งจำกัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส แต่ผู้ปกครองกลุ่มหนึ่งไม่เห็นด้วยกับการไม่เปิดชั้นเรียนให้กับเด็กๆ โดยเฉพาะเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ และกดดันให้มีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมสำเร็จ
แต่สถานการณ์การระบาดที่กลับมารุนแรงขึ้น ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่า เด็กๆ จะไม่มีโอกาสกลับเข้าชั้นเรียนเป็นเวลาอีกนาน
เจนนิเฟอร์ เดล คุณแม่ ลูก 3 จากรัฐโอเรกอน คือ หนึ่งในผู้ที่ประสบปัญหาการปรับตัวลูกๆ ให้เรียนหนังสือผ่านระบบออนไลน์ในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะ ลิซซี่ ลูกสาวคนกลางของเธอซึ่งมีอาการของดาวน์ซินโดรม และไม่ชอบการเรียนผ่านคอมพิวเตอร์แม้แต่น้อย
ในช่วงแรกที่เจนนิเฟอร์ เริ่มรู้สึกว่า ลิซซี่ มีปัญหาหนัก เธอส่งอีเมล์พร้อมคลิปวิดีโอของลูกสาวขณะออกอาการมีปัญหากับการเรียนแบบออนไลน์ไปให้เจ้าหน้าที่ของโรงเรียนเพื่อขอความเห็นใจ ก่อนจะเริ่มจับกลุ่มกับผู้ปกครองคนอื่นๆ และออกมาเดินประท้วงให้โรงเรียนต่างๆ เปิดชั้นเรียนอีกครั้ง
ในเวลานี้ เจนนิเฟอร์ กลายมาเป็นผู้จัดกิจกรรมและเป็นกระบอกเสียงของผู้ปกครองทั่วรัฐโอเรกอน เพื่อเรียกร้องให้นักเรียนได้กลับเข้าเรียน ในเวลาที่รัฐทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือนี้เป็นหนึ่งในเพียงไม่กี่รัฐที่มีกฎอนุญาตให้ทำการเรียนการสอนในชั้นเรียนได้บางส่วน หากอัตราการติดเชื้อในพื้นที่รอบๆ ไม่เกินระดับที่กำหนดไว้
เจนนิเฟอร์ บอกกับผู้สื่อข่าว Associated Press ว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรมต่อเด็กๆ อย่างมาก และตนก็กลัวว่า เด็กๆ ทั้งหลายจะไม่ได้รับการศึกษาในระดับที่เพียงพอ ดังนั้น ต้องมีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขที่เป็นอยู่ เพราะลูกๆ ไม่ใช่ “เครื่องสังเวย“ แต่อย่างใด
จุดยืนของเจนนิเฟอร์สะท้อนเสียงของผู้ปกครองทั่วประเทศที่ไม่พอใจกับระบบการเรียนการสอนเสมือนจริง และต้องการให้ลูกๆ กลับเข้าชั้นเรียนบ้าง ด้วยการแสดงออกผ่านกิจกรรมประท้วงและการยื่นเรื่องฟ้องศาล
แต่การระบาดของโควิด-19 ที่กลับมาพุ่งสูงขึ้นในเวลานี้ ทำให้ทางการในหลายพื้นที่สั่งปิดชั้นเรียนอีกครั้ง ขณะที่ผู้ปกครองในรัฐต่างๆ เช่น นิวยอร์ก แคลิฟอร์เนีย และเพนซิลเวเนีย เดินหน้ายื่นฟ้องต่อศาลให้ระงับนโยบายนี้ ด้วยเหตุผลว่า ระบบการเรียนทางไกลนั้นหมายถึงมาตรฐานคุณภาพการศึกษาที่ต่ำกว่ารัฐกำหนด ทั้งยังไม่เป็นผลดีต่อนักเรียนด้วย
และขณะที่ มีรายงานเกี่ยวกับกลุ่มผู้ประท้วงกลุ่มอื่นๆ ที่นำโดยครูและผู้สนับสนุนสหภาพครู ออกมาร้องขอให้มีการดำเนินมาตรการรับรองความปลอดภัยในโรงเรียนก่อนที่จะอนุญาตให้นักเรียนกลับเข้าชั้นเรียน กลุ่มผู้ปกครองในรัฐโอเรกอน ยื่นคำร้องต่อเจ้าหน้าที่รัฐ ให้อนุญาตให้เปิดชั้นเรียนอีกครั้งภายในวันที่ 6 มกราคม ซึ่งเป็นวันที่ 300 หลังจากวันสุดท้ายที่มีนักเรียนเข้าเรียนตามปกติเกือบครบในรัฐนี้
ข้อมูลจากหน่วยงานดูแลด้านการศึกษาระบุว่า มีโรงเรียนรัฐของโอเรกอนเพียง 9 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่ยอมให้นักเรียนกลับเข้าชั้นเรียนบ้าง ภายใต้เงื่อนไขที่ เคท บราวน์ ผู้ว่าการรัฐและสมาชิกพรรคเดโมแครต ประกาศใช้ตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งก็คือ เคาน์ตี้ที่ต้องการเปิดชั้นเรียนให้นักเรียนเข้ามาเรียนบ้าง ต้องมีรายงานการติดเชื้อใหม่ไม่เกิน 200 ราย ต่อประชากร 100,000 คน โดยเงื่อนไขนี้ทำให้มีนักเรียนไม่ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ที่มีสิทธิ์กลับเข้าโรงเรียนได้
ส่วนที่มหานครนิวยอร์กซิตี้ นายกเทศมนตรี บิลล์ เดอ บลาซิโอ ประกาศไว้ว่า หากอัตราการติดเชื้อในเมืองเกิน 3 เปอร์เซ็นต์เมื่อใด จะสั่งปิดโรงเรียนทันที แต่ทันทีที่ทางการยอมให้ภาคธุรกิจเปิดให้บริการอีกครั้ง ผู้ปกครองในเมืองนี้ออกมาแสดงความเห็นว่า ภาครัฐควรทบทวนกฎการปิดชั้นเรียนตามด้วย เพื่อให้นักเรียนเริ่มเข้าเรียนในชั้นอีกครั้ง ก่อนที่ นายกเทศมนตรี เดอ บลาซิโอ จะยอมยกเลิกเงื่อนไขนี้เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว เฉพาะสำหรับนักเรียนในชั้นเตรียมประถมไปจนถึงชั้นประถมศึกษาเท่านั้น
แม้ว่า จะไม่ค่อยมีรายงานว่า เด็กเล็กและเด็กวัยรุ่นกลายมาเป็นผู้ป่วยหนักจากการติดเชื้อโควิด-19 และผู้บริหารโรงเรียนหลายรายยอมรับว่า ไม่มีหลักฐานที่ชี้ว่า มีการระบาดภายในพื้นที่โรงเรียน มีรายงานว่า ประชากรวัยเยาว์สามารถเป็นผู้แพร่เชื้อได้แม้ไม่มีอาการอยู่ดี
สำนักข่าว Associated Press รายงานว่า เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่เห็นด้วยว่า การเข้าเรียนในชั้นเรียนนั้นมีความสำคัญมาก แต่ทางการในบางรัฐตัดสินใจเลือกให้ความสำคัญต่อการควบคุมความเสี่ยงจากการระบาดมากกว่า เช่น แคลิฟอร์เนีย ฮาวาย นิวเม็กซิโก และนอร์ทแคโรไลนา ที่บังคับใช้เงื่อนไขเข้มสำหรับโรงเรียนที่มีสิทธิ์เปิดสอนในชั้นเรียนได้ ขณะที่ รัฐอื่นๆ อาทิ อาร์คันซอ ฟลอริดา ไอโอวา และเท็กซัส สั่งให้โรงเรียนทุกแห่งต้องมีการจัดการเรียนการสอนในห้องประกอบด้วยแล้ว
ในส่วนของ เจนนิเฟอร์ นั้น เธอกล่าวว่า ลิซซี่ สามารถกลับเข้าเรียนอีกครั้งในเดือนตุลาคม ภายใต้โครงการสำหรับนักเรียนพิเศษ โดยต้องสวม Face Shield ป้องกันใบหน้าตลอด และเป็นนักเรียนคนเดียวในชั้น แต่ลูกสาวของเธอกลับมีความสุข แม้ไม่ได้เจอเพื่อนแม้แต่คนเดียว
แต่ตัวเลขผู้ป่วยโควิด-19 ที่เริ่มกลับมาพุ่งสูงอีกครั้งในช่วงนี้ และแนวโน้มที่ชี้ว่าสถานการณ์จะแย่ลงไปอีก ทำให้เจนนิเฟอร์ เริ่มกังวลอีกครั้งว่า โรงเรียนจะไม่สามารถเปิดการเรียนการสอนในชั้นเรียนตลอดเวลาที่เหลือของปีการศึกษานี้ ซึ่งจะสิ้นสุดลงก่อนฤดูร้อนของปีหน้า ดังนั้น “น่าจะเป็นเวลาที่เราทุกคนควรเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่กับโควิด” เช่นเดียวกับการใช้ชีวิตด้านอื่นๆ เช่น การออกไปซื้อของตามซุปเปอร์มาร์เก็ต หรือการออกไปรับประทานข้างนอก เพราะ “เราไม่สามารถหลบซ่อนได้ตลอดไป”