Your browser doesn’t support HTML5
สหรัฐฯ และอังกฤษ ประกาศขึ้นรายชื่อบริษัทที่กองทัพเมียนมาควบคุมอยู่ในบัญชีดำ ตามมาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจต่อการก่อรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ และการใช้ความรุนแรงในการปรามปรามผู้ชุมนุมประท้วง
กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ประกาศในวันพฤหัสบดีว่า ได้เพิ่มบริษัท Myanmar Economic Holdings Public Company Ltd และบริษัท Myanmar Economic Corporation Ltd เข้าไปในรายชื่อธุรกิจและบุคคลที่ถูกลงโทษทางเศรษฐกิจ ขณะที่ รัฐบาลอังกฤษ ประกาศเพิ่มชื่อทั้งสองบริษัทนี้เข้าในบัญชีดำเช่นกัน ด้วยเหตุผลว่า กองทัพเมียนมาซึ่งควบคุมธุรกิจเหล่านี้อยู่ ทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงต่อชาวมุสลิมโรฮีนจา
สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า การประกาศลงโทษกองทัพเมียนมารอบใหม่นี้ ถือเป็นการดำเนินการที่มีนัยสำคัญที่สุดต่อธุรกิจที่นายทหารของเมียนมามีส่วนได้ส่วนเสียอยู่ เพราะเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจหลากหลาย ตั้งแต่ ธุรกิจเบียร์ไปจนถึง ธุรกิจบุหรี่ ธุรกิจโทรคมนาคม ธุรกิจยางรถยนต์ ธุรกิจเหมือง และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
และภายหลังการประกาศมาตรการนี้ กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ประณามการที่ทางการเมียนมาใช้ความรุนแรงที่เป็นอันตรายถึงชีวิตในการควบคุมผู้ชุมนุมในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 27 ราย อันรวมถึงเด็กหลายคนด้วย
เน็ด ไพรซ์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุในแถลงการณ์ว่า “การกระทำอันโหดเหี้ยมและน่าชิงชังต่อเด็กๆ ที่รวมถึงหนูน้อยวัย 7 ปี ผู้ถูกยิงเสียชีวิตภายในบ้านของเธอ ระหว่างนั่งอยู่บนตักของบิดา แสดงให้เห็นถึงลักษณะความโหดร้ายของวิธีการที่รัฐบาลทหารเมียนมานำมาใช้ต่อประชาชนของตน”
ทั้งนี้ มาตรการต่างๆ ซึ่งรวมถึงการอายัดสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับกองทัพเมียนมาที่มีอยู่ในสหรัฐฯ มีผลทำให้บริษัทบริษัทและบุคคลสัญชาติอเมริกันทั้งหลายไม่สามารถค้าขายหรือทำธุรกรรมการเงินใดๆ กับธุรกิจหรือผู้ที่ถูกลงโทษได้ และเพราะการชำระเงินเกือบทั้งหมดที่ใช้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ต้องดำเนินการผ่านสถาบันการเงินของสหรัฐฯ บริษัททั้งหลายที่ถูกขึ้นบัญชีดำ จึงเหมือนถูกขับออกจากระบบการธนาคารอเมริกันไปโดยปริยาย
แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่า มาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจที่พุ่งเป้าไปยังกองทัพเมียนมา ไม่ใช่ประชาชนชาวพม่า แสดงให้เห็นว่า สหรัฐฯ และอังกฤษ มุ่งที่จะทำตามคำมั่นในการเอาผิดกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังการก่อรัฐประหารในเมียนมา และการใช้ความรุนแรงอันน่าชิงชังต่างๆ ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี ส.ว.เอ็ด มาร์คีย์ จากพรรคเดโมแครตและประธานอนุคณะกรรมาธิการกิจการด้านเอเชีย กล่าวระหว่างการให้ข้อมูลต่อวุฒิสภาสหรัฐฯ ว่า ตนยินดีที่มีการดำเนินการลงโทษกองทัพเมียนมาอย่างต่อเนื่อง แต่ต้องการจะให้มีการดำเนินการมากกว่านี้ เช่นเดียวกับ กลุ่มเคลื่อนไหวปกป้องสิทธิมนุษยชนหลายกลุ่ม ที่กล่าวว่า แม้มาตรการที่ผ่านมาจะเป็นก้าวสำคัญในการลงโทษรัฐบาลทหารของเมียนมา ทั้งหมดนี้ยังไม่ใช่การลงโทษทางเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุดที่นานาชาติสามารถประกาศใช้ได้