สหประชาชาติเตือน สถานการณ์ในเมียนมา อาจยกระดับเป็น “ความขัดแย้งเต็มรูป”

This photo taken and received courtesy of an anonymous source via Facebook on April 13, 2021 shows Thingyan festival flowers and leaves displayed in pots decorated with designs in support of demonstrations by protesters against the military coup in Yangon

การประท้วงต่อต้านรัฐประหารทั่วเมียนมาที่ดำเนินมานานนับเดือน ส่งผลให้ประเพณีเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปลี่ยนรูปแบบกลายมาเป็น ‘การประท้วงเงียบ’ แทน ขณะที่ องค์การอนามัยโลก เตือนว่า สถานการณ์อาจย่ำแย่ลงจนกลายมาเป็น “ความขัดแย้งเต็มรูป” ได้

การก่อรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ เพื่อยึดอำนาจจาก อองซานซูจี และรัฐบาลพลเรือน ที่นำมาซึ่งการเดินขบวนประท้วงทั่วประเทศจนถึงปัจจุบัน ทำให้การเฉลิมฉลองเทศกาลตะจาน (Thingyan) ซึ่งเป็นวันปีใหม่ตามปฏิทินจันทรคติของเมียนมา นาน 5 วัน กลายมาเป็นพื้นที่ประท้วงรูปแบบใหม่แทน

This photo taken and received courtesy of an anonymous source via Facebook on April 13, 2021 shows Thingyan festival flowers and leaves displayed in pots decorated with designs in support of demonstrations by protesters against the military coup in Yangon

รายงานข่าวระบุว่า จากปกติที่ประชาชนจะฉลองวันปีใหม่ตามประเพณีซึ่งรวมถึงการเล่นน้ำ เช่นในเทศกาลสงกรานต์ของไทย ชาวเมียนมาเลือกที่จะวาดภาพสัญลักษณ์และเขียนคำขวัญเกี่ยวกับประชาธิปไตยต่างๆ อาทิ ภาพชู 3 นิ้ว บนกระถางดอกไม้ที่ผู้คนมักนำออกมาประดับในช่วงเทศกาลนี้แทน

อย่างไรก็ดี การที่กองทัพเมียนมาใช้มาตรการรุนแรงเพื่อปราบปรามผู้ชุมนุมอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตไม่น้อยกว่า 700 ราย ตามข้อมูลขององค์กร Assistance Association for Political Prisoners (AAPP) ทำให้ มิเชล บาเชเลต์ ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ออกแถลงการณ์ที่ระบุว่า สถานการณ์ในเมียนมา “กำลังเดินหน้าไปสู่การเป็นสภาวะความขัดแย้งเต็มรูป” เช่นเดียวกับกรณีสงครามกลางเมืองที่ดำเนินอยู่ในประเทศซีเรีย

บาเชเลต์ กล่าวด้วยว่า “เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า การออกแถลงกรณ์ประณาม และการลงโทษทางเศรษฐกิจอย่างจำกัดนั้นไม่เพียงพอ” และว่า “รัฐใดๆ ที่มีอิทธิพลเพียงพอ จำต้องเร่งกดดันกองทัพเมียนมาให้ยุติการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง รวมทั้งเหตุอันอาจเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ได้แล้ว”