ทรัมป์-ไบเดน นำเสนอมุมมองต่างขั้วชัดเจนบนเวทีดีเบตสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง

Trump Biden Last Debate

ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และอดีตรองประธานาธิบดี โจ ไบเดน เผชิญหน้าและปะทะกันด้วยวาจาบนเวทีโต้วาทีอภิปรายครั้งสุดท้าย ก่อนการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯ ในวันที่ 3 พฤศจิกายน โดยต่างพยายามตอบคำถามตามหัวข้อที่ผู้ดำเนินรายการนำเสนอด้วยมุมมองที่ต่างกันอย่างชัดเจน พร้อมๆ กับตอบโต้คำกล่าวหาของกันและกันตลอดเวลากว่า 90 นาที​

Trump Biden Last Debate Oct 22 2020

การดีเบตครั้งสุดท้ายของผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มหาวิทยาลัยเบลมอนต์ เมืองแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี มี คริสเตน เวลเคอร์ ผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบขาวของสำนักข่าว NBC เป็นผู้ดำเนินรายการและเลือกหัวข้อสำหรับทั้งคู่ให้ตอบทั้งหมด 6 หัวข้อ อันได้แก่ การต่อสู้รับมือโควิด-19 ความมั่นคงแห่งชาติ สถานการณ์ครอบครัวชาวอเมริกันและเศรษฐกิจ เชื้อชาติพันธุ์ในอเมริกา การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และภาวะการเป็นผู้นำประเทศ

ภาพรวมของการดีเบตครั้งล่าสุดนี้ แตกต่างจากการโต้วาทีอภิปรายครั้งแรกพอควร เนื่องจากผู้จัดงานได้ออกกฎใหม่ให้ปิดไมค์ของฝ่ายที่ยังไม่ถึงเวลาตอบคำถามในช่วงแรก เพื่อให้ฝ่ายที่ต้องตอบสามารถนำเสนอข้อมูลโดยไม่ถูกขัดจังหวะ ก่อนที่ทั้งคู่จะผลัดกันแย้งและกล่าวหากันและกันในประเด็นต่างๆ จนถึงเวลาเปลี่ยนหัวข้อ และกฎการปิดไมค์ 1 ตัวชั่วคราวกลับมาบังคับใช้อีกครั้งจนจบการดีเบต

Trump Biden Last Debate Oct 22 2020

ในประเด็นการระบาดของโควิด-19 ซึ่งเป็นหัวข้อแรกของการดีเบต ปธน.ทรัมป์ ยืนยันว่า สถานการณ์การระบาดในประเทศเริ่มดีขึ้นและวัคซีนจะมีออกมาใช้งานภายในสิ้นปี แม้ว่าการคาดการณ์ของผู้เชี่ยวชาญจะนานกว่านั้น ขณะที่ อดีตรองปธน.ไบเดน ชี้ว่า ผู้ที่รับผิดชอบตัวเลขการเสียชีวิตของชาวอเมริกันกว่า 220,000 คน จากการติดเชื้อโควิด-19 ไม่ควรจะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเลย

สำนักข่าว รอยเตอร์ส รายงานว่า การสำรวจความคิดเห็นหลายสำนักชี้ว่า ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ไม่พอใจกับวิธีการรับมือโควิด-19 ของปธน.ทรัมป์ เท่าใดนัก ขณะที่ รายงานการระบาดของโคโรนาไวรัสในหลายรัฐยังมีการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึง รัฐสมรภูมิเช่น รัฐโอไฮโอ ที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ประจำวันแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันพฤหัสบดีตามเวลาท้องถิ่น

และเมื่อ อดีตรองปธน.ไบเดน กล่าวหาว่า ปธน.ทรัมป์ หลีกเลี่ยงที่จะแสดงความรับผิดชอบต่อการระบาดครั้งใหญ่นี้ ผู้นำสหรัฐฯ คนปัจจุบัน กล่าวว่า ตนขอรับความรับผิดชอบเต็มที่ และย้ำว่า การระบาดที่มาถึงสหรัฐฯ ไม่ใช่ความผิดของตน แต่เป็นความผิดของประเทศจีน

ผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครต ปะทะคารมกันในระหว่างการโต้อภิปรายคำถามหลายเรื่อง ซึ่งรวมถึงความยุติธรรมด้านเชื้อชาติ โดยอดีตรองปธน.ไบเดน กล่าวหา ปธน.ทรัมป์ ว่าเป็นผู้ที่เติมเชื้อเพลิงให้กับกระแสการเหยียดเชื้อชาติ ขณะที่ ปธน.ทรัมป์ ยกกฎหมายว่าด้วยอาชญากรรม (Crime Bill) ที่ อดีตรองปธน.ไบเดน มีส่วนสนับสนุนให้ผ่านออกมาใช้งานในช่วงปีคริสต์ทศวรรษ 1990 ว่าเป็นตัวอย่างของการไม่ให้ความยุติธรรมต่อเชื้อชาติ เพราะนี่คือกฎหมายที่ทำให้ชายชาวอเมริกันผิวสีจำนวนหลายหมื่นคน ทั้งหนุ่มและสูงอายุ ต้องถูกจำคุกจากคดีเกี่ยวกับยาเสพติด ก่อนที่จะประกาศบนเวทีดีเบตว่า ตนคือ “คนที่เหยียดเชื้อชาติน้อยที่สุดในห้องประชุมนี้”

Trump Biden Last Debate Oct 22 2020

ในส่วนของประเด็นนโยบายต่างประเทศ อดีตรองปธน.ไบเดน กล่าวหา ปธน.ทรัมป์ ว่า ไปคบหาสมาคมกับ “พวกนักเลง” ซึ่งเป็นการพูดถึง คิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ และทำให้เกาหลีเหนือสามารถขยายความสามารถด้านอาวุธนิวเคลียร์ขึ้นมามากมาย รวมทั้งยกกรณีการดำเนินการแยกเด็กๆ จากพ่อแม่ผู้อพยพข้ามพรมแดนโดยผิดกฎหมาย ว่าเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ รวมทั้งอ้างถึงรายงานจากหนังสือพิมพ์ เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ ที่อ้างว่า ผู้นำสหรัฐฯ มีบัญชีลับในจีน ทั้งยังกล่าวหาว่า ปธน.ทรัมป์มีการทำธุรกิจเพื่อรับเงินจากต่างชาติด้วย

ปธน.ทรัมป์ ตอบโต้ข้อกล่าวหาต่างๆ ด้วยการระบุว่า ตนเป็นผู้ทำให้ไม่เกิดสงครามกับเกาหลีเหนือด้วยการพยายามผูกมิตรกับผู้นำประเทศนี้ ทั้งยังย้ำว่า เด็กๆ ที่ถูกแยกจากพ่อแม่นั้นเป็นฝีมือของคนร้ายและขบวนการลักลอบพาคนข้ามแดน และว่า เด็กๆ เหล่านั้น ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี รวมทั้งยืนยันว่า ตนได้จ่ายภาษีล่วงหน้าเป็นเงินหลายสิบล้านดอลลาร์ และจะเปิดเผยข้อมูลการเสียภาษีและการรับภาษีคืนในเร็วๆ นี้ ก่อนที่จะโจมตี ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครตอย่างต่อเนื่อง กรณีรายงานข่าวที่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่า ฮันเตอร์ ไบเดน ผู้เป็นบุตรชาย และคนในครอบครัวใช้ตำแหน่งรองประธานาธิบดีของบิดาในการหาประโยชน์ใส่ตัวผ่านการทำธุรกิจกับรัสเซีย ยูเครนและจีน

Trump Biden Last Debate Oct 22 2020

นอกจากนั้น ทั้งคู่ยังแสดงจุดยืนที่ต่างกันในด้านนโยบายพลังงานซึ่งเกี่ยวเนื่องกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ โดยอดีตรองปธน.ไบเดน ประกาศว่า ตนมีนโยบายจะลดการพึ่งพาพลังงานน้ำมัน และสนับสนุนพลังงานทางเลือก เพื่อลดระดับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมทั้งการกลับคืนสู่ความตกลงปารีส ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ขณะที่ ปธน.ทรัมป์ โต้ว่า แผนการลดการพึ่งพาน้ำมันนั้น ไม่น่าจะเป็นที่นิยมในรัฐที่มีการผลิตน้ำมันสูง เช่น เท็กซัส โอกลาโฮมา และเพนซิลเวเนีย พร้อมย้ำว่า ตนจะไม่ยอมทำตามความตกลงนานาชาติข้างต้นที่รัฐบาลปัจจุบันประกาศถอนตัวออกมาตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ. 2017 หากต้องทำให้ชาวอเมริกันว่างงานเป็นจำนวนมากเป็นอันขาด

ในคำถามสุดท้าย ผู้ดำเนินรายการถามทั้งสองคนว่าอะไรคือปัจจัยที่จะทำให้ตนชนะการเลือกตั้งและจะพูดอะไรกับชาวอเมริกันที่ไม่ได้ลงคะแนนให้ตนนั้น ปธน.ทรัมป์ ประกาศย้ำว่า ความสำเร็จที่รัฐบาลภายใตการนำของตนจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ กลับมาแข็งแกร่งเป็นเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเหมือนก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 พร้อมเน้นว่า หากปล่อยให้ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครตชนะ เศรษฐกิจของสหรัฐฯ “จะเข้าสู่ภาวะตกต่ำอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”

ขณะเดียวกัน อดีตรองปธน.ไบเดน กล่าวว่า ตนจะทำงานตามหลักวิทยาศาสตร์ไม่ใช่นิยายปั้นแต่ง และมุ่งสร้างความหวัง ไม่ใช่ความกลัวในหมู่ประชาชน ทั้งยังเน้นย้ำว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นเรื่องของความดีงาม ความซื่อสัตย์ การให้ความเคารพ และการปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยศักดิ์ศรี ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนชาวอเมริกันไม่ได้เห็นมาตลอด 4 ปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ แม้ทั้งสองผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะตอบคำถามต่างๆ และโจมตีกันและกันอย่างได้อย่างน่าสนใจ ผู้สังเกตการณ์ให้ความเห็นว่า ไม่มีใครสามารถจัดการกับอีกฝ่ายได้อย่างเบ็ดเสร็จหรือมีประสิทธิภาพมากนัก ขณะที่สิ่งที่เกิดขึ้นบนเวทีดีเบตระหว่างผู้ท้าชิงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ มักจะไม่มีผลต่อการตัดสินใจของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเท่าไรด้วย

อย่างไรก็ดี สำนักข่าว Associated Press ชี้ว่า ปธน.ทรัมป์ พยายามแสดงจุดยืนและวิสัยทัศน์บนเวทีสุดท้ายอย่างเต็มที่ เพื่อเรียกเสียงสนับสนุนจากชาวอเมริกัน ในเวลาที่ ผลสำรวจความนิยมหลายสำนักชี้ว่า ผู้นำสหรัฐฯ คนปัจจุบัน มีความนิยมตามหลังผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครตอยู่ และมีผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งล่วงหน้าไปแล้วกว่า 47 ล้านคน หรือกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่ออกมาใช้สิทธิ์ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี ค.ศ. 2016