การเผชิญหน้าต่อสู้อย่างดุเดือดระหว่างกองทัพเมียนมาและกลุ่มกบฏชนกลุ่มน้อยติดอาวุธส่งผลให้ประชาชนราว 5,000 คนต้องหลบภัยหนีตายด้วยการข้ามชายแดนมายังประเทศไทยในสัปดาห์นี้ ตามรายงานของรอยเตอร์ที่อ้างข้อมูลจากทางการและสื่อท้องถิ่น
รายงานจากหนังสือพิมพ์ข่าวสดภาคภาษาอังกฤษและสำนักข่าวบีบีซี ภาษาพม่า ที่ออกมาเมื่อวันพฤหัสบดี สถานการณ์ความรุนแรงครั้งล่าสุดนี้เกิดขึ้นหลังกลุ่มกบฏในรัฐกะเหรี่ยงทางใต้ของเมียนมาปะทะกับกองกำลังป้องกันชายแดน
รัฐบาลทหารเมียนมาซึ่งยึดอำนาจการปกครองประเทศหลังก่อรัฐประหารเมื่อต้นปี ค.ศ. 2021 ประสบปัญหาในการปราบปรามกลุ่มก่อความไม่สงบติดอาวุธในหลายจุดของประเทศ ขณะที่ยังถูกนานาชาติประณามต่อการใช้ความรุนแรงถึงตายเพื่อจัดการกับผู้ต่อต้านและกลุ่มเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยมาโดยตลอด
ทางการไทยและเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมรายหนึ่งเปิดเผยว่า ผู้คนจำนวนราว 5,000 คน ซึ่งมีเด็กและผู้หญิงจำนวนมากอยู่ในกลุ่มด้วย ได้ข้ามแดนมายังพื้นที่จังหวัดตาก และขอลี้ภัยที่ค่ายชั่วคราวซึ่งชาวบ้านจัดไว้ให้
เจ้าหน้าที่จากองค์กรช่วยเหลือองค์กรหนึ่งในพื้นที่ซึ่งไม่ขอเปิดเผยตัวบอกกับรอยเตอร์ว่า ชาวเมียนมาหลายคนข้ามแดนมาไทยตั้งแต่เมื่อวันพุธ และบางคนก็ยังรออยู่ที่ฝั่งเมียนมาเพื่อหาจังหวะข้ามมาไทยอยู่ ขณะที่ ผู้ลี้ภัยทั้งหลายประสบปัญหามีน้ำดื่มไม่เพียงพอและไม่มีห้องน้ำจะใช้ด้วย
ขณะเดียวกัน ทางการไทยเปิดเผยว่า กองทัพอากาศได้เฝ้าติดตามดูสถานการณ์และ “พร้อมที่จะส่งเครื่องบินตรวจการณ์ขึ้นบินหากมีการล่วงล้ำน่านฟ้าไทย”
นอกจากนั้น สำนักงานจังหวัดตากยังออกแถลงการณ์ในวันพฤหัสบดีที่ระบุว่า “ศูนย์บัญชาการชายแดนไทย-เมียนมานั้นกำลังทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดหาความช่วยเหลือและมาตรการรรักษาความปลอดภัยตามหลักมนุษยธรรมให้กับผู้ที่หนีการต่อสู้ในเมียนมาอยู่”
ทั้งนี้ รอยเตอร์ติดต่อไปยังโฆษกรัฐบาลทหารเมียนมาเพื่อขอความเห็น แต่ไม่ได้รับการตอบกลับขณะจัดทำรายงานข่าวนี้
มีรายงานการต่อสู้ปะทุขึ้นหลายจุดในพื้นที่ห่างไกลของเมียนมามาตลอด และกลุ่มปกป้องสิทธิมนุษยชนกล่าวหากองทัพเมียนมาว่า เป็นฝ่ายดำเนินการโจมตีทางอากาศและทางพื้นดินที่พุ่งเป้าไปยังพลเรือน โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีพลเรือนอย่างน้อย 8 คน ซึ่งรวมถึงเด็กจำนวนหนึ่ง ถูกสังหารในการโจมตีทางอากาศที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมียนมา
รัฐบาลทหารเมียนมากล่าวย้ำว่า ตนกำลังต่อสู้อยู่กับ “ผู้ก่อการร้าย” และปฏิเสธว่า ตนทำการพุ่งเป้าโจมตีไปยังพลเรือน
- ที่มา: รอยเตอร์