นายกรัฐมนตรีไทยเศรษฐา ทวีสิน กล่าวในวันอังคารว่าได้วางแผนนำกัญชากลับมาเข้าบัญชียาเสพติดภายในสิ้นปีนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญอีกหนึ่งครั้งที่เกิดขึ้นสองปีหลังเป็นประเทศแรกในเอเชียที่ปลดล็อกการใช้งานพืชนี้อย่างถูกกฎหมาย
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ท่าทีของผู้นำรัฐบาลครั้งล่าสุดนี้ มีขึ้นแม้ธุรกิจกัญชาในไทยจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงสองปีที่ผ่านมา สะท้อนจากจำนวนของร้านค้าที่เปิดขึ้นกว่าหนึ่งหมื่นแห่งทั่วประเทศ และการคาดการณ์ว่ามูลค่าของอุตสาหกรรมพืชสีเขียวจะอยู่ที่ 1,200 ล้านดอลลาร์ (ราว 44,000 ล้านบาท) ภายในปี 2567
บัญชีแพลตฟอร์ม X ของเศรษฐา โพสท์ในวันอังคารว่า “ผมขอให้กระทรวงสาธารณสุขแก้ไขประกาศกระทรวง โดยดึง กัญชากลับไปเป็นยาเสพติด ประเภท 5 และเร่งออกกฎกระทรวง อนุญาต ให้ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ด้านการแพทย์และสุขภาพเท่านั้น”
กัญชาถูกรับรองให้ใช้ในทางการแพทย์ในปี 2561 และต่อมาก็ถูกปลดออกจากบัญชียาเสพติดในปี 2565 ในรัฐบาลที่แล้ว ส่งผลให้มีการใช้งานกัญชาในทางสันทนาการได้อย่างไม่มีโทษตามกฎหมายยาเสพติด และเรียกเสียงวิจารณ์ถึงความสับสนในการกำกับควบคุม สืบเนื่องจากการรีบเร่งผลักดันกัญชาถูกกฎหมาย
Your browser doesn’t support HTML5
ท่าทีของเศรษฐาเกิดขึ้นหลังจากการประชุมกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ปปส.) โดยในการประชุม นายกรัฐมนตรีได้ประกาศว่าจะกวดขันปัญหายาเสพติดมากขึ้น และให้หน่วยงานรัฐรายงานผลความคืบหน้าที่ชัดเจนภายใน 90 วัน
นอกจากนั้น เศรษฐายังขอให้กระทรวงสาธารณสุขแก้ไขกฎกระทรวง ที่กำหนดปริมาณเกณฑ์การสันนิษฐานการมียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อเสพ จากการใช้คำว่า “ปริมาณเล็กน้อย” เป็น “1 เม็ด” เพื่อให้สามารถบังคับใช้กฎหมายได้เข้มข้นขึ้น
ก่อนหน้านี้มีการประกาศของรัฐบาลปัจจุบันแล้วว่าจะผลักดันกฎหมายกัญชาภายในสิ้นปีนี้ ที่จะมีบทบัญญัติห้ามการใช้กัญชาเพื่อสันทนาการ แต่ขณะนั้นยังไม่มีความชัดเจนว่าเริ่มต้นกระบวนการด้วยวิธีใด
ประสิทธิ์ชัย หนูนวล เลขาธิการเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย ระบุว่า การนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ธุรกิจ และผู้บริโภค
ประสิทธิ์ชัยกล่าวกับรอยเตอร์ว่า “หากมีผลทางวิทยาศาสตร์ที่บอกว่ากัญชามีผลเสียมากกว่าแอลกอฮอล์และยาสูบ ถึงค่อยนำกัญชากลับไปเข้าบัญชียาเสพติด แต่ถ้ากัญชาอันตรายน้อยกว่า รัฐก็ควรเอายาสูบและแอลกอฮอล์เป็นยาเสพติดด้วย”
- ที่มา: รอยเตอร์