อิตาลีเป็นประเทศหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการนำงานศิลปะและวัตถุโบราณที่ถูกลักลอบออกนอกประเทศโดยผิดกฎหมายกลับคืนมาได้ ทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการสร้างพิพิธภัณฑ์แห่งใหม่ ที่จัดแสดงงานศิลปะเหล่านี้โดยเฉพาะ
เมื่อสัปดาห์วันพุธที่ 15 มิ.ย. อิตาลีได้เปิดตัวพิพิธภัณฑ์แห่งใหม่ ที่ชื่อว่า “พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ได้รับการกู้คืน” หรือ Museum of Rescued Art บนพื้นที่ส่วนหนึ่งของห้องอาบน้ำดิโอคลีเชียน (Baths of Diocletian) ห้องอาบน้ำโบราณ ในกรุงโรม
ห้องจัดแสดงผลงานรูปแปดเหลี่ยม ถูกออกแบบมาเพื่ออวดฝีมือของอิตาลีในการนำเอาวัตถุโบราณงานศิลปะต่าง ๆ ที่ทรงคุณค่าของประเทศกลับคืนมาจากพิพิธภัณฑ์และคอลเลคชั่นส่วนตัวของนักสะสมงานศิลปะในต่างประเทศ โดยเป็นการใช้ความอดทนและความพยายามผ่านช่องทางการทูต และการดำเนินการทางกฎหมาย เป็นเวลาหลายทศวรรษ
พิพิธภัณฑ์ใหม่ของกรุงโรมโฆษณาการแสดงผลงานชุดนี้ว่าเป็นวัตถุโบราณที่ “ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อนในอิตาลี" ประกอบด้วยวัตถุโบราณประมาณ 100 ชิ้น จากทั้งหมด 260 ชิ้นที่หน่วยปฏิบัติการกอบกู้งานศิลปะของอิตาลีนำกลับคืนมาจากสหรัฐอเมริกาตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา หลังจากที่มีการลักลอบขุดและนำเอาวัตถุโบราณดังกล่าวออกนอกอิตาลี เช่น งานแกะสลักรูปปั้นที่ประณีตงดงามตามศิลปะยุคอิทรัสคัน (Etruscan) เหยือกน้ำเคลือบสีอายุหลายร้อยปี โดยก่อนหน้านี้ วัตถุโบราณดังกล่าวตกอยู่ในการครอบครองของพิพิธภัณฑ์ บริษัทประมูลงานศิลปะ และคอลเลคชั่นสะสมศิลปะส่วนบุคคล
ผลงานที่จะนำมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ได้รับการกู้คืนนี้ จะมีการหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เพราะหลังจากที่จัดแสดงแล้ว ก็จะมีการนำวัตถุโบราณเหล่านั้นกลับไปไว้ที่พื้นที่ต้นกำเนิดตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ โดยหลายชิ้นเป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมอิทรัสคัน หรือ แมกนา กราเซีย (Magna Gracia) ในตอนกลางและตอนใต้ของประเทศอิตาลี
วัตถุโบราณที่ได้รับการนำกลับคืนมาเหล่านี้มาจากอารยธรรมก่อนยุคโรมัน หรือย้อนไปประมาณ 800 – 400 ปีก่อนคริสตกาล หลายชิ้นมาจากพื้นที่ที่ในปัจจุบันคือเมืองแซร์เวเตริ (Cerveteri) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงโรม ที่เต็มไปด้วยซากของอารยธรรมอิทรัสกันที่เฟื่องฟูในทางตะวันตกของอิตาลี
ผลงานศิลปะชิ้นหนึ่งที่สะดุดตา คือเหยือกเซรามิคที่ทำขึ้น 700 ปีก่อนคริสตกาล เหยือกดังกล่าวทาด้วยสีแดงบนพื้นขาวและมีความสูงมากกว่าหนึ่งเมตร มีลวดลายของม้าและแมว และยังมีฉากหนึ่งของเทวตำนานกรีกตอนที่โพลิฟีมุส ยักษ์กินคน ถูกทำให้ตาบอดอีกด้วย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมของอิตาลี ดาริโอ ฟรานเชสคินี (Dario Franceschini) อธิบายว่า พิพิธภัณฑ์แห่งใหม่นี้เลือกที่จะจัดแสดงงานศิลปะโบราณแบบหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไป แทนที่จะจัดเป็นคอลเลคชั่นถาวร เพราะมองว่าการนำเอาวัตถุโบราณเหล่านี้ที่ถูกขโมยไปกลับคืนสู่ถิ่นกำเนิดเดิมเป็นสิ่งที่ถูกต้องควรทำ
อย่างไรก็ตาม มีบางกรณีที่แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญเองก็ไม่สามารถที่จะระบุแหล่งต้นกำเนิดของวัตถุโบราณบางชิ้นได้ ซึ่งก็สะท้อนให้เห็นถึงความเสียหายถาวรที่เกิดขึ้น จากการที่วัตถุโบราณเหล่านี้ถูกลักลอบขโมยไป โดยชิ้นที่ไม่สามารถระบุต้นกำเนิดที่เฉพาะเจาะจงได้ จะถูกนำกลับไปไว้ในภูมิภาคที่ใกล้เคียงที่สุด
พื้นที่ของห้องอาบน้ำดิโอคลีเชียนที่ใช้จัดแสดงผลงานวัตถุโบราณที่กอบกู้มาได้นี้ เป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์โรมันแห่งชาติ (National Roman Museum) งานแสดงชุดปัจจุบันจะมีถึงวันที่ 15 ตุลาคม ก่อนที่จะมีการจัดแสดงวัตถุโบราณอีกชุดหนึ่งที่นำกลับคืนมาได้
วัตถุโบราณที่เรียกได้ว่าติดตาตรึงใจจากการจัดแสดงชุดปัจจุบันคือ รูปปั้นศรีษะที่ทำมาจากดินเผาที่ถูกผ่าครึ่งออกเป็นสองส่วน และโลงศพสมัยอิทรัสคันที่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี มีการตกแต่งไว้อย่างประณีตด้วยภาพของนักรบ ม้า และแมว
อิตาลีกล่าวอ้างได้อย่างภาคภูมิใจว่าสามารถกอบกู้งานศิลปะและวัตถุโบราณได้ถึงประมาณ 3 ล้านชิ้นตั้งแต่มีการก่อตั้งหน่วยรักษามรดกทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังตำรวจแห่งชาติอิตาลีขึ้นมาในปี ค.ศ.1969 นอกจากนี้ อิตาลียังพยายามที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้ประเทศอื่น ๆ ส่งคืนวัตถุโบราณที่ไม่ใช่ของประเทศตนอีกด้วย
โดยเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา อิตาลีได้ส่งคืนช้ินส่วนของวิหารพาร์เธนอน (Parthenon) ซึ่งเคยอยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งในเมืองซิซิลี กลับคืนให้กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมของอิตาลีกล่าวว่า ชิ้นส่วนดังกล่าวอยู่ในอิตาลีอย่างถูกกฎหมาย แต่อิตาลีต้องการที่จะ “ยึดมั่นในหลักการว่าด้วยการส่งคืนทรัพย์สินทางวัฒนธรรม เพื่อที่จะเชื่อมต่อมรดกทางประวัติศาสตร์กับลูกหลานและสถานที่ดั้งเดิมอีกครั้ง”
อย่างไรก็ตาม อิตาลียังไม่สามารถนำศิลปะวัตถุล้ำค่าบางชิ้นของประเทศกลับคืนมาได้ เช่น รูปปั้นชายหนุ่มไร้ขาที่ทำมาจากทองสัมฤทธิ์ ที่ชื่อว่า “Victorious Youth” ที่ถูกค้นพบโดยเรือประมงของอิตาลีในทะเลเอเดรียติกในปี ค.ศ.1964 แต่สุดท้ายถูกพิพิธภัณฑ์ เจ พอล เก็ตตี้ (J. Paul Getty Museum) ในรัฐแคลิฟอร์เนียซื้อไป
ในปี ค.ศ.2018 ศาลสูงแห่งอิตาลีตัดสินว่าพิพิธภัณฑ์ เจ พอล เก็ตตี้ ต้องคืนรูปปั้นดังกล่าวแก่อิตาลี แต่พิพิธภัณฑ์ดังกล่าวไม่ทำตามคำตัดสิน โดยยืนยันว่า รูปปั้นชื่อดังนั้นถูกเก็บขึ้นมาจากน่านน้ำสากล
- ที่มา: เอพี