ประธานยูเอ็นเอสซีจี้รัสเซียยุติสงครามยูเครน

การประชุมคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ หรือ UNSC ในนครนิวยอร์ก ที่หลายฝ่ายจับตา เกือบจะเป็นช่วงเวลาแห่งการเผชิญหน้าระหว่างรัสเซียและยูเครนแมตช์ใหญ่ ตามรายงานของรอยเตอร์

นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ประธานาธิบดียูเครน โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ได้ปรากฏตัวในการประชุมคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ ว่าด้วยประเด็นรัสเซียส่งทหารรุกรานยูเครน แต่วาสสิลี เนเบนเซีย ทูตรัสเซียประจำยูเอ็น กลับปฏิเสธไม่ให้ผู้นำยูเครนขึ้นกล่าวบนเวทีก่อนเริ่มการประชุม

นายกรัฐมนตรีแอลเบเนีย เอดี รามา ในฐานะประธานหมุนเวียนของ UNSC ซึ่งต้องรับมือกับการประชุมอันแสนตึงเครียดครั้งนี้ โต้กลับมอสโกที่พยายามบอกมาตลอดว่าการรุกรานที่เกิดขึ้นกับยูเครนนั้นไม่ใช่สงคราม แต่เป็นแค่ “ปฏิบัติการพิเศษทางทหาร” ด้วยการกล่าวว่า “ผมต้องการรับรองกับผองเพื่อนชาวรัสเซียและทุกคนในที่นี้ว่านี่ไม่ใช่ปฏิบัติการพิเศษโดยประธานาธิบดีแอลเบเนียอย่างแน่นอน”

รามากล่าวต่อไปว่า “มันมีทางออกของเรื่องนี้อยู่” และว่า “หากทุกคนเห็นด้วย คุณ(รัสเซีย)หยุดสงครามซะและประธานาธิบดีเซเลนสกีจะไม่ต้องขึ้นมากล่าวที่นี่”

ทูตรัสเซียประจำยูเอ็นไม่เห็นด้วย และพยายามกล่าวว่าการประชุมนี้เป็นแค่การแสดง พร้อมกับวิจารณ์นายกฯ แอลเบเนียว่าไม่ทำตัวเป็นกลาง

หลังจากการประชุมนี้ ปธน.เซเลนสกีขอบคุณนายกฯ รามาผ่านสื่อสังคมออนไลน์ว่า แอลเบเนีย “ได้แสดงให้โลกเห็นถึงวิธีการรับมือกับรัสเซีย คำโกหกหลอกลวงและความหน้าซื่อใจคด(ของรัสเซีย)อย่างถูกต้อง”

หลังการปะทะคารมไปมา ปธน.เซเลนสกีได้พื้นที่ขึ้นกล่าวในการประชุมนี้ โดยเขาขอให้รัสเซียถูกตัดสิทธิ์ในการวีโต้ ในฐานะผู้แทนถาวรของ UNSC เพื่อเป็นการลงโทษรัสเซียที่โจมตียูเครน

ท้ายที่สุดแล้ว ผู้นำยูเครนและรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เลี่ยงการเผชิญหน้าในการประชุมเมื่อวันพุธ โดยปธน.เซเลนสกีออกจากห้องประชุมไปก่อนที่รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ จะเข้ามา

รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ใช้เวทีนี้ปกป้องสิทธิ์วีโต้ของรัสเซียว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย และยังกล่าวหารัฐบาลกรุงเคียฟและชาติตะวันตกว่าเลือกปฏิบัติตามกฎบัตรสหประชาติตามอำเภอใจ

ในการแสวงหาความชอบธรรมในการรุกรานยูเครน รัฐบาลมอสโกอ้างว่าความทะเยอทะยานของยูเครนในการเป็นส่วนหนึ่งกับชาติตะวันตก รวมทั้งการเข้าร่วมนาโต้ เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของรัสเซีย ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลกรุงเคียฟและพันธมิตรปฏิเสธว่าเป็นสิ่งที่ไร้เหตุผลในการเข้าโจมตี

  • ที่มา: รอยเตอร์