รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขยูเครนกล่าวหารัสเซียว่า ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ด้วยการปิดกั้นการเข้าถึงยารักษาโรคในพื้นที่ที่ตนส่งกองทัพไปยึดครองอยู่ตั้งแต่รุกรานยูเครนเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอพี วิกเตอร์ ลิแอชโก รัฐมนตรีสาธารณสุขยูเครน กล่าวว่า ทางการรัสเซียทำการปิดกั้นความพยายามที่จะจัดส่งยาที่รัฐบาลกรุงเคียฟเป็นผู้สนับสนุนไปยังพื้นที่เมืองและหมู่บ้านต่าง ๆ ที่รัสเซียยึดครองอยู่หลายต่อหลายครั้งแล้ว
รมต.ลิแอชโก กล่าวว่า “ตลอดช่วง 6 เดือนของสงคราม รัสเซียไม่[เปิดทาง]ให้กับโครงการระเบียงมนุษยธรรมอย่างเต็มที่ เพื่อให้เราได้นำส่งยาของเราให้กับผู้ป่วยที่ต้องการ” และว่า “เราเชื่อว่า การกระทำเหล่านี้เป็นความจงใจของฝ่ายรัสเซีย และเราถือว่า เรื่องนี้เป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติและอาชญากรรมสงครามที่ต้องมีการลงบันทึกและต้องมีการจดจำรับรู้ไว้”
รายงานข่าวระบุว่า รัฐบาลยูเครนดำเนินโปรแกรมให้ความช่วยเหลือด้านยาสำหรับประชาชนที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งและอาการป่วยเรื้อรังต่าง ๆ ขณะที่ ข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติและเจ้าหน้าที่ยูเครน ชี้ว่า โรงพยาบาลและโครงสร้างพื้นฐานทั้งหลายที่ถูกทำลายลงเพราะสงคราม ประกอบกับการที่ประชาชนราว 7 ล้านคนต้องกลายมาเป็นคนพลัดถิ่นในยูเครนเอง คือ ปัจจัยที่กระทบการรักษาในรูปแบบอื่น ๆ ด้วย
องค์การอนามัยโลกเปิดเผยว่า มีการโจมตีโรงพยาบาลต่าง ๆ และสถานพยาบาลทั้งหลายทั่วยูเครนถึง 445 ครั้งนับตั้งแต่รัสเซียเปิดฉากรุกรานยูเครนมา จนถึงวันที่ 11 สิงหาคม โดยเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 86 คนและบาดเจ็บ 105 คน
อย่างไรก็ดี รมต.ลิแอชโก ยืนยันว่า ผลกระทบรองลงมาจากผลกระทบโดยตรงนั้นกลับส่งผลกระทบรุนแรงมากกว่า โดยยกตัวอย่างว่า เมื่อถนนและสะพานทั้งหลายในพื้นที่ที่ยูเครนยังควบคุมอยู่ถูกทำลายลง การจะนำส่งผู้ที่ป่วยด้วยอาการโรคหัวใจกำเริบหรือเส้นเลือดในสมองตีบไปยังโรงพยาบาลนั้นเป็นเรื่องที่ยากขึ้นมาทันที และเมื่อไม่สามารถนำส่งผู้ป่วยได้ทันการ หรือรถพยาบาลไปถึงไม่ทันการณ์ จำนวนผู้เสียชีวิตจึงเพิ่มขึ้นและตัวเลขดังกล่าวก็ไม่ได้ถูกนับรวมในรายงานผลกระทบของสงครามด้วย
- ที่มา: วีโอเอ