สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส มีพระดำรัสในวันอาทิตย์ว่า พระองค์ได้ทรงสวดภาวนาให้แก่ “ผู้ที่ประสบความทุกข์ยากในตะวันออกกลาง” หลังทรงเสร็จสิ้นการเยือนบาห์เรน เพื่อส่งเสริมการพูดจาสื่อสารระหว่างศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม
ในพระดำรัสสุดท้ายก่อนจะเสด็จขึ้นเครื่องบินกลับกรุงโรมในวันอาทิตย์ โป๊ปฟรานซิสยังทรงกล่าวต่อคริสต์ศาสนิกชนที่มาร่วมชุมนุม ให้ช่วยการสวดภาวนา “ให้ยูเครน ที่กำลังทนทุกข์ทรมานอย่างมาก” และเพื่อให้สงครามนั้นยุติลงเสียที
องค์ประมุขแห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิกกล่าวต่อชาวเลบานอนที่มาร่วมชุมนุมว่า พระองค์ทรงสวดภาวนา “ให้กับประเทศอันเป็นที่รักของท่านที่เหนื่อยและล้าอย่างมาก และให้กับผู้คนที่ทนทุกข์อยู่ในตะวันออกกลางด้วย”
โป๊บฟรานซิส ซึ่งมีพระชนมายุ 85 ชันษา ใช้โอกาสเยือนประเทศบาห์เรนที่มีประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามเป็นเวลา 4 วัน เพื่อพบกับเจ้าหน้าที่อาวุโสชาวมุสลิมและประชาชนที่นับถือศาสนาคริสต์ที่อาศัยอยู่ในประเทศนี้ ซึ่งเป็นที่อยู่ของชุมชนแรงงานผู้อพยพขนาดใหญ่ด้วย
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โป๊ปฟรานซิสทรงเข้าร่วมพิธีมิสซากลางแจ้งที่มีผู้เข้าร่วมราว 30,000 คน โดยแรงงานข่าวระบุว่า หลายคนที่มาในงานรู้สึกตื้นตันจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
ปัจจุบัน บาห์เรนมีผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกอาศัยอยู่ราว 80,000 คนโดยส่วนใหญ่เป็นคนงานที่มาจากประเทศฟิลิปปินส์และประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย โดยประเทศอ่าวเปอร์เซียแห่งนี้เพิ่งสถาปนาความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับนครวาติกันเมื่อปี ค.ศ. 2000 นี่เอง
และในวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการเยือนบาห์เรนเป็นครั้งแรก สมเด็จพระสันตะปาปาเสด็จเยือนโบสถ์พระหฤทัยในกรุงมานามา โดยพระองค์ยังได้เรียกร้องชาวคริสตังให้ “เป็นผู้ส่งเสริมการพูดจาสื่อสารอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย” กับผู้ที่นับถือศาสนาอื่น ๆ ด้วย
พระดำรัสของโป๊ปฟรานซิสนี้มีออกมาเพียง 1 วันหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจบาห์เรนควบคุมตัวญาติของนักโทษชาวบาห์เรนที่ถูกตัดสินประหารชีวิต ซึ่งออกมาประท้วงคำตัดสินนี้และร้องขอเข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปา ตามรายงานของกลุ่มเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน Human Rights Watch แม้ว่า ทางการจะปฏิเสธและยืนยันว่า ไม่มี “การจับกุมตัว” เกิดขึ้นก็ตาม
กลุ่มสิทธิมนุษยชนแห่งนี้กล่าวหาศาลของบาห์เรนว่า ตัดสินลงโทษประหารชีวิตโดยทำการ “ไต่สวนคดีอย่างไม่เป็นธรรม”
- ที่มา: วีโอเอ