Your browser doesn’t support HTML5
เกษตรกรผู้ผลิตมิ้นท์ชาวอเมริกันมีผลผลิตออกสู่ตลาดนับเป็น 70 เปอร์เซ็นต์ของทั่วโลก มีมูลค่าที่ 200 ล้านดอลล่าร์สหรัฐต่อปี
คุณ Matthys กล่าวว่าเขาปลูกเป็ปเปอร์มิ้นท์สเปียร์มิ้นท์สองสายพันธุ์ เป็นสายพันธุ์ท้องถิ่นของอเมริกากับสเปียร์มิ้นท์สายพันธุ์จากสก็อตแลนด์เรียกว่า scotch spearmint
ทวดของคุณ Matthys เป็นคนเริ่มปลูกมิ้นท์ที่ฟาร์มแห่งนี้ในปี 1930 และได้ขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้นตั้งแต่นั้นมา ครอบครัว Matthys ยังคงปลูกมิ้นท์สายพันธุ์ Black Mitchum ที่นำมาจากสหราชอณาจักรในช่วงปีคริสต์ศวรรษที่ 1700
คุณ Elyssa Rogers เจ้าหน้าที่ประจำสำนักงานสนับสนุนทางการเกษตรแห่งรัฐ Indiana อธิบายว่ามิ้นท์ถูกจัดให้อยู่ในพืชเกษตรกรรมประเภทเดียวกับหญ้า
คุณ Rogers กล่าวว่าจำเป็นต้องมีการตัดต้นมิ้นท์อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง เมื่อตัดแล้วจะนำไปวางตากบนพื้นนานราวสองวัน ก่อนที่จะใช้เครื่องตัด หั่นต้นมิ้นท์ออกเป็นชิ้นๆ
หลังจากนั้น ต้นมิ้นท์ที่ถูกหั่นเป็นชิ้นๆ จะถูกนำไปบรรจุลงในตู้ที่ต่อเข้ากับท่อยาว 5 ท่อ ที่มาจากเครื่องกลั่น ที่เป็นตัวพ่นไอน้ำร้อนเข้าไปตามท่อเพื่อกลั่นน้ำมันออกจากใบมิ้นท์
คุณ Matthys กล่าวว่าไอน้ำจะเป็นตัวแยกน้ำมันออกจากใบมิ้นท์ในรูปของไอระเหย ก่อนที่จะลอยไปเข้าไปผ่านเครื่อง condenser โดยเมื่อปีที่แล้ว คุณ Matthys ผลิตน้ำมันจากใบมิ้นท์ได้ 60,000 ปอนด์
ไม่มีการค้าขายน้ำมันมิ้นท์ในตลาดซื้อขายหุ้นเหมือนกับผลิตผลทางการเกษตรอื่นๆ แต่โบรกเก้อร์จะติดต่อกับชาวนาผู้ปลูกมิ้นท์โดยตรงเพื่อขอซื้อ และเนื่องจากการผลิตน้ำมันจากมิ้นท์เป็นงานที่ต้องการเครื่องมือราคาแพง จำนวนเกษตรกรที่ทำธุรกิจนี้จึงลดลง
คุณ Matthys บอกว่ามีผู้ปลูกมิ้นท์ในสหรัฐประมาณ 280 รายเท่านั้นที่ผลิตน้ำมันมิ้นท์ทั้งเป็ปเปอร์มิ้นท์และสเปียร์มิ้นท์ที่นำไปใช้ในอุตสาหกรรมแต่งกลิ่นอาหารทั่วโลก
เกษตรกรผู้ผลิตมิ้นท์ชาวอเมริกันเหล่านี้มีผลผลิตออกสู่ตลาดนับเป็น 70 เปอร์เซ็นต์ของความต้องการมิ้นท์ทั้งหมดทั่วโลก มีมูลค่าที่ 200 ล้านดอลล่าร์สหรัฐต่อปี
จีน อินเดีย และญี่ปุ่นเป็นตลาดผู้ซื้อมิ้นท์รายสำคัญ โดยนำไปใช้ในอุตสาหกรรมแต่งกลิ่นขนมและเพื่อใช้เป็นยาสมุนไพร
คุณ Elyssa Rogers เจ้าหน้าที่ประจำสำนักงานสนับสนุนทางการเกษตรแห่งรัฐ Indiana กล่าวว่ามิ้นท์ช่วยรักษาอาการปวดหัวและบรรเทาอาการหวัดได้ดี ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการใช้มิ้นท์เป็นยารักษาโรคท้องอืด ท้องเฟ้อและอาหารไม่ย่อยอย่างกว้างขวาง จนรัฐบาลอังกฤษในตอนนั้นกันพื้นที่ไว้ปลูกมิ้นท์เพื่อการนี้โดยเฉพาะ
คุณ Matthys ย้ำว่าเนื่องจากมีความต้องการมิ้นท์ในตลาดเพิ่มขึ้นรวมกับราคาที่สูง ทำให้บรรดาผู้ผลิตต่างหันไปผลิตมิ้นท์เทียมแทน เขากล่าวว่าผู้บริโภคควรอ่านดูที่ฉลากของหมากฝรั่งหรือสินค้าที่มีส่วนผสมของมิ้นท์เพื่อดูว่ามิ้นท์ที่ใช้เป็นส่วนประกอบเป็นมิ้นท์ธรรมชาติหรือมิ้นท์เทียม
และหากสินค้าที่มีมิ้นท์ธรรมชาติเป็นส่วนผสมเป็นของยี่ห้อ Wrigley ยี่ห้อ Colgate หรือยี่ห้อ Nestle มีความเป็นไปได้สูงว่าเป็นมิ้นท์ธรรมชาติที่มาจากไร่ของ คุณ Matthys ที่รัฐ Indiana