ดัชนีตลาดหลักทรัพย์สำคัญ ๆ ของสหรัฐฯ ร่วงหนักในวันจันทร์ นำโดย Nasdaq ลดลงกว่า 3% หลังกระแสความกลัวเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ เขย่าความมั่นใจตลาดหุ้นทั่วโลกและกระตุ้นให้นักลงทุนแห่เทขายสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่าง ๆ ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์
อาการตื่นกลัวที่ส่งผลกระทบหนักต่อการซื้อขายหลักทรัพย์ทั่วโลกเริ่มต้นจากการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วที่อ่อนตัวหนัก โดยเฉพาะรายงานตัวเลขการจ้างงาน
แต่ดัชนีต่าง ๆ ฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้บ้างทันทีที่มีรายงานอื่น ๆ ของสหรัฐฯ ออกมา ซึ่งรวมถึง รายงานภาคบริการในเดือนกรกฎาคมที่ปรับตัวดีขึ้นหลังแตะจุดต่ำสุดในรอบ 4 ปี โดยได้อานิสงส์จากคำสั่งซื้อและการว่าจ้างงานที่ดีขึ้น
ออสแตน กูลส์บี ประธานระบบธนาคารกลาง (Fed) สาขาชิคาโก ออกมาให้ความเห็นเชิงบวกเพื่อคลี่คลายกระแสความกลัวภาวะเศรษฐกิจถดถอยด้วยการกล่าวว่า เจ้าหน้าที่ของ Fed นั้นคอยเฝ้าดูระแวดระวังการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ของเศรษฐกิจเพื่อหลีกเลี่ยงการจำกัดการเปลี่ยนแปลงของดอกเบี้ยจนเกินไปอยู่แล้ว
ส่วน โอลิเวอร์ เพิร์ช ประธานอาวุโสและที่ปรึกษาของบริษัท Wealthspire Advisors ในรัฐคอนเนคทิกัต บอกกับ รอยเตอร์ว่า การดำเนินนโยบายทางการเงินที่ตึงตัวกว่าปกตินั้นทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงอยู่แล้ว ดังนั้น นี่จึงไม่ใช่เหตุผลที่ว่าทำไมถึงเกิดแรงเทขายในภาวะตื่นตระหนก (panic selling) กันในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ผู้ค้า (Trader) ในสหรัฐฯ ยังคงเฝ้ารอกันอยู่ว่า Fed จะลดดอกเบี้ยลง 0.50% ในเดือนกันยายน แทนที่จะลดเพียง 0.25% หรือไม่ โดยบางรายได้ออกมาเรียกร้องให้มีการลดดอกเบี้ยฉุกเฉินแล้วด้วย ตามรายงานของสำนักข่าวเอพี
SEE ALSO: 'เฟด' ยังตรึงอัตราดอกเบี้ย แย้มอาจเริ่มลดเดือนหน้าและเมื่อเอพีสอบถามผู้เชี่ยวชาญและนักวิเคราะห์ว่า นักลงทุนควรทำอย่างไรภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน หลายคนเห็นตรงกันว่า ควรอยู่นิ่ง ๆ ไว้ก่อน และควรจะมองการณ์ไกลไว้ โดยเฉพาะนักลงทุนที่มีความกังวลเกี่ยวกับเงินออมเพื่อการเกษียณ
เจคอบ แชนเนล นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก LendingTree กล่าวว่า โดยส่วนใหญ่ การเร่งเทขายหุ้นด้วยความตื่นตระหนกในวันที่ดัชนีแดงทั้งกระดานนั้นคือ โอกาสการสูญเสียเงินหนักมากกว่าที่ออมมาได้เสียอีก ดังนั้น การรอให้ตลาดฟื้นตัวไว้เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาเสมอจึงเป็นหนทางที่ดีกว่าเสมอ
- ที่มา: รอยเตอร์และเอพี