ผลวิจัยชี้วัคซีน 'จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน' ป้องกันติดโควิดกลายพันธุ์ได้น้อยลง

FILE - A registered nurses fills a syringe with the Johnson & Johnson COVID-19 vaccine at a pop-up vaccination site at the Albanian Islamic Cultural Center in the Staten Island borough of New York, April 8, 2021.

ผลการศึกษาที่จัดทำโดยนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก เปิดเผยว่า วัคซีนโควิดของบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (Johnson & Johnson) อาจมีประสิทธิผลลดลงเมื่อใช้กับเชื้อโคโรนาไวรัสกลายพันธุ์ที่กำลังระบาดอยู่ในหลายประเทศ

แนทธาเนียล แลนเดา หัวหน้าคณะนักวิจัยชุดนี้กล่าวว่า วัคซีนโควิดของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ที่ใช้เพียงเข็มเดียว มิได้มีอัตราการป้องกันเชื้อที่กลายพันธุ์ได้เหมือนวัคซีนที่ใช้เทคโนโลยี mRNA ของบริษัทไฟเซอร์ (Pfizer) และโมเดอร์นา (Moderna)

ผลการวิจัยซึ่งใช้วิธีศึกษาเลือดของกลุ่มตัวอย่าง ถูกโพสต์ทางอินเทอร์เน็ตเมื่อวันอังคาร แต่ยังไม่ได้ผ่านการตรวจสอบของผู้เชี่ยวชาญคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย และยังไม่ได้ตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการ แสดงให้เห็นผลที่คล้ายกับการทดสอบครั้งก่อน ๆ ที่ชี้ว่า วัคซีนแบบเข็มเดียวไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันที่เพียงพอสำหรับเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตาและแลมบ์ดา

ก่อนหน้านี้ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เปิดเผยรายงานที่แสดงให้เห็นว่า วัคซีนของบริษัทเพียงเข็มเดียวสามารถป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์เดลตาได้ถึง 8 เดือน

แต่งานวิจัยล่าสุดชิ้นนี้ยืนยันว่า การฉีดวัคซีนของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เข็มที่สองเป็นสิ่งจำเป็นในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์เดลตา

ที่ผ่านมา วัคซีนของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ประสบปัญหาหลายอย่างหลังจากผ่านการรับรองของสำนักงานอาหารและยาของสหรัฐฯ หรือ FDA รวมทั้งมีรายงานว่าเกิดลิ่มเลือดแข็งตัวสำหรับสตรีบางกลุ่ม และอาการทางระบบประสาทบางอย่าง แม้ว่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยอย่างยิ่งก็ตาม

(ที่มา: เรียบเรียงจากวีโอเอ เอพี และรอยเตอร์)