รัสเซียทดสอบ 'ขีปนาวุธเร็วเหนือเสียง' เพิ่มความเสี่ยงแข่งขันสะสมอาวุธรอบใหม่

In this video grab provided by RU-RTR Russian television via AP television on March 1, 2018, a computer simulation shows the Avangard hypersonic vehicle being released from booster rockets.

ผลการวิจัยเตือนว่า การล่มสลายของสนธิสัญญาอาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลาง (the Intermediate Range Nuclear Forces (INF Treaty) ระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซียในเดือนนี้ เป็นตัวอย่างล่าสุดของความกดดันที่เพิ่มมากขึ้นต่อการสร้างความมั่นคงระดับทั่วโลก

ทีมนักวิจัยชี้ว่า จำเป็นอย่างมากที่ต้องมีการตั้งสนธิสัญญาฉบับใหม่ๆ อย่างเร่งด่วน เพื่อรับมือกับการคุกคามของเทคโนโลยีใหม่ๆ ทางอาวุธเหล่านี้

เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว รัสเซียได้ทำการทดสอบยิงขีปนาวุธครั้งใหม่ล่าสุดโดยใช้ระบบยิงขีปนาวุธที่มีความเร็วสูงกว่าเสียงที่ชื่อว่า "Avangard" ซึ่งทางการรัสเซียชี้ว่าระบบนี้สามารถทะลุทะลวงระบบป้องกันทุกประเภทที่มีใช้อยู่ในปัจจุบัน

ระบบ Avangard ทำงานด้วยการติดตั้งขีปนาวุธข้ามทวีปเข้ากับยานร่อนที่เดินทางเร็วกว่า 11,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในบริเวณขอบของชั้นบรรยากาศโลก เเละจะทิ้งขีปนาวุธลงสู่เป้าโจมตีเมื่อร่อนไปอยู่เหนือจุดเป้าหมาย เเละยังสามารถติดได้ทั้งหัวรบนิวเคลียร์เเละหัวรบทั่วไป

Russian President Vladimir Putin, left, and Chief of General Staff of Russia Valery Gerasimov oversee the test launch of the Avangard hypersonic glide vehicle from the Defense Ministry's control room in Moscow, Russia, Wednesday, Dec. 26, 2018.

คาทาไซนา คูบีเอค (Katarzyna Kubiak) เเห่ง European Leadership Network ผู้เขียนรายงานผลการศึกษากล่าวว่า สหรัฐฯ จีน เเละออสเตรเลีย ก็กำลังพัฒนาระบบของตนเองอยู่ในขณะนี้

คูบีเอคกล่าวว่า ระบบเหล่านี้จะก้าวหน้ากว่าระบบยิงขีปนาวุธระบบต่างๆ ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ทั้งในด้านความเร็วเเละความคล่องเเคล่ว เเละยังอาจมีศักยภาพหลีกเลี่ยงระบบป้องกันขีปนาวุธเเละระบบป้องกันทางอากาศได้อีกด้วย

เเละที่สำคัญที่สุด เราจะยังได้เห็นการทดสอบเทคโนโลยีต่อต้านขีปนาวุธแบบต่างๆ อีกด้วย รวมทั้งขีปนาวุธนำวิถี ซึ่งการพัฒนาขีปนาวุธที่มีความสามารถแบบคู่ ซึ่งบรรทุกได้ทั้งหัวรบทั่วไปและหัวรบนิวเคลียร์ จะนำไปสู่ความคลุมเครือมากขึ้น เเละโอกาสสูงมากขึ้นในการตัดสินใจผิดพลาดที่นำไปสู่ความเสียหายร้ายเเรง

A Russian Air Force MiG-31K jet carries a high-precision hypersonic aero-ballistic missile Kh-47M2 Kinzhal during the Victory Day military parade to celebrate 73 years since the end of WWII and the defeat of Nazi Germany, in Moscow, Russia, May 9, 2018

คูบีเอคกล่าวว่า ในสถานการณ์วิกฤติ กองทัพต้องใช้ตัดสินใจภายใต้ความกดดันสูงและการไม่รู้ว่าขีปนาวุธชนิดใดกำลังมุ่งหน้ามายังจุดที่ตั้งของตน ทำให้ต้องคาดการณ์ทางลบมากที่สุด หรืออาจนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของระดับรังสีท้องถิ่น ซึ่งเรื่องนี้เน้นถึงความกังวลที่มีอยู่ในขณะนี้ต่อการพัฒนาขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์ของรัสเซีย

คูบีเอคกล่าวว่า การสร้างความมั่นคงในระดับทั่วโลกเกี่ยวกับการแพร่กระจายขีปนาวุธนิวเคลียร์กำลังได้รับเเรงกดดันอย่างหนัก เเละกำลังถูกเเซงหน้าอย่างรวดเร็วโดยเทคโนโลยีการพัฒนาขีปนาวุธ

นักวิจัยกล่าวอีกว่า การสร้างความมั่นคงที่มีความซับซ้อนมากจะเป็นงานที่ยากขึ้นไปอีกเพราะการเเพร่กระจายของขีปนาวุธที่ไม่มีขอบเขตจำกัดจะเพิ่มให้การเเข่งขันทางอาวุธระหว่างประเทศเพิ่มความรุนแรงขึ้น จะเพิ่มค่าใช้จ่ายในการรักษาความมั่นคงระกับภูมิภาคเเละระดับทั่วโลก นอกจากนี้ยังจะเพิ่มค่าใช้จ่ายทางการทหารเเละความเสี่ยงของการเกิดความขัดเเย้งทางอาวุธอีกด้วย

รายงานชิ้นนี้ชี้ว่า ประชาคมโลกต้องเพิ่มความสำคัญแก่ปัญหาการเเข่งขันด้านการพัฒนาขีปนาวุธ โดยเฉพาะในนโยบายของฝ่ายการเมือง รวมทั้งต้องสร้างความเข้มเเข็งเเก่มาตรการควบคุมการเเพร่ขยายต่างๆ ที่ใช้อยู่ เเละความโปร่งใส ตลอดจนต้องเร่งเจรจาสนธิสัญญาใหม่ๆ เพื่อรับมือกับเทคโนโลยีระบบยิงขีปนาวุธที่ล้ำสมัยเหล่านี้

(เรียบเรียงโดย ทักษิณา ข่ายแก้ว วีโอเอภาคภาษาไทย กรุงวอชิงตัน)