ธุรกิจ ‘หัวเหว่ย’ ชะงักหลังถูกสหรัฐฯ กดดันหนักมากว่าปี

A woman wearing a face mask to help curb the spread of the coronavirus browses her smartphone as a masked woman walks by the Huawei retail shop promoting it 5G network in Beijing Oct. 11, 2020.

Your browser doesn’t support HTML5

Business News


บริษัท หัวเหว่ย ซึ่งเป็นธุรกิจโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่จากจีน อาจเคยตั้งความหวังไว้ว่า การเปลี่ยนถ่ายรัฐบาลสหรัฐฯ มาสู่ยุคของประธานาธิบดี โจ ไบเดน น่าจะช่วยผ่อนคลายแรงกดดันที่รัฐบาลกรุงวอชิงตันชุดก่อนสร้างไว้ ผ่านนโยบายต่างๆ ซึ่งรวมทั้งคำสั่งห้ามทำธุรกิจ แต่ที่ผ่านมา ยังไม่มีสัญญาณใดๆ จากสหรัฐฯ ว่าจะเปลี่ยนแปลงท่าทีที่มีต่อจีนเท่าใดนัก

นับตั้งแต่รัฐบาลของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ดำเนินมาตรการสกัดกั้นห่วงโซ่อุปทานของ หัวเหว่ย ที่จำเป็นสำหรับโครงการพัฒนาอุปกรณ์ที่รองรับเทคโนโลยี 5จี มา หน่วยธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการติดตั้งโครงสร้างโทรคมนาคมและมือถือของบริษัทชั้นนำของจีนแห่งนี้ที่เคยได้ชื่อว่าเป็นผู้นำตลาดโลกในด้านยอดขายสมาร์ทโฟน ได้รับความเสียหายอย่างมาก

ขณะที่การที่ปธน.ไบเดน เสนอชื่อ แคเธอรีน ไท ชาวอเมริกันเชื้อสายจีนขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เป็นเหมือนสัญญาณที่บ่งชี้ว่า นโยบายสหรัฐฯ ต่อจีน ยังไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงไปจากช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามาก ทั้งหัวเหว่ยและบริษัทจีนอื่นๆ ยังหวังว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศจะลดความตึงเครียดลงจากระดับสงครามการค้าในสมัยของอดีตปธน.ทรัมป์ ในไม่ช้านี้

แต่เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ความหวังของหัวเหว่ยกับยุคของปธน.ไบเดน กลับเริ่มริบหรี่ เมื่อรัฐบาลกรุงวอชิงตันประกาศว่า ไม่เพียงแต่จะดำเนินนโยบายสั่งห้ามการส่งออกบางรายการตามที่รัฐบาลชุดก่อนประกาศไว้ แต่จะยกระดับความเข้มข้นของมาตรการทั้งหมดด้วย

นอกจากนั้น ก่อนการประชุมระดับสูงระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ และตัวแทนรัฐบาลกรุงปักกิ่งเมื่อเร็วๆ นี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ประกาศว่า ทางกระทรวงฯ ได้ออกหมายเรียกผู้บริหารบริษัทจีนหลายแห่งเพื่อมาให้ข้อมูล สำหรับการสืบสวนกรณีภัยคุกคามความมั่นคงของประเทศด้วย โดยกรณีนี้เป็นการดำเนินการต่อเนื่องจากคำสั่งฝ่ายบริหารของอดีตปธน.ทรัมป์ ที่ให้อำนาจรัฐบาลสั่งห้ามการซื้อเทคโนโลยีใดๆ ก็ตามที่อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ

แม้กระทรวงพาณิชย์ไม่ได้เปิดเผยชื่อบริษัทที่ถูกสอบสวนอยู่ ผู้เชี่ยวชาญหลายรายเชื่อว่า หัวเหว่ย คือหนึ่งในผู้ที่ถูกเรียกสอบอย่างแน่นอน

U.S. Secretary of State Antony Blinken, second right, and Chinese Foreign Minister Wang Yi, left, lead their delegations in U.S.-China talks in Anchorage, Alaska, March 18, 2021.

และระหว่างการประชุมระหว่าง แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ และ หยาง เจียชื่อ ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการต่างประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ฝ่ายผู้แทนจีนกล่าวว่า สหรัฐฯ “บิดเบือนประเด็นเรื่องความมั่นคงของประเทศ ด้วยการใช้ข้ออ้างนี้ในการขัดขวางการแลกเปลี่ยนทางการค้าในแบบปกติ และยุยงให้ประเทศอื่นๆ โจมตีจีน”

นับตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ. 2019 มา สหรัฐฯ ออกคำสั่งห้ามการส่งออกหลายรายการที่ทำให้หัวเหว่ย ไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีหลายประเภทที่จำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจ โดยหน่วยงานข่าวกรองสหรัฐฯ กล่าวมาตลอดว่า หัวเหว่ย นั้นมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับรัฐบาลจีน ขณะที่ กฎหมายของจีนบังคับให้บริษัทต่างๆ ที่ทำธุรกิจกับจีนต้องให้ความร่วมมือในกับหน่วยข่าวกรองของตนในการเปิดเผยข้อมูลต่างๆ

Huawei

ที่ผ่านมา ผู้บริหารของหัวเหว่ยได้แต่แสดงความร้อนใจที่ถูกมองว่าตนเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของรัฐบาลจีน และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แอนดี เพอร์ดี ผู้บริหารระดับสูงด้านการรักษาความปลอดภัยของ หัวเหว่ย ในสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับ บลูมเบิร์ก นิวส์ ว่า หากรัฐบาลปธน.ไบเดน มีความกังวลเกี่ยวกับหัวเหว่ยจริง “เราหวังว่า รัฐบาลสหรัฐฯ จะเข้ามาร่วมเป็นหุ้นส่วนกับเรา และไม่ชี้นิ้วไปยังรัฐบาลจีน เพราะหัวเหว่ย พูดแทน ‘หัวเหว่ย’ เท่านั้น”

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญไม่น้อยยังไม่เชื่อว่า บริษัทแห่งนี้มีอิสระในการดำเนินธุรกิจจากอิทธิพลของรัฐบาลจีนจริงดังอ้าง เช่น จิม ลูอิส ผู้อำนวยการโครงการ Strategic Technologies Program ของศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์และนานาชาติ ในกรุงวอชิงตัน กล่าวว่า แม้รัฐบาลจีนจะไม่ได้ออกมาพูดแทนหัวเหว่ย แต่ทุกครั้งที่พูดกับบริษัทแห่งนี้ “หัวเหว่ย ตอบได้เพียงแต่ ‘ได้ครับ/ค่ะ’ เท่านั้นเอง”

ในส่วนของผลกระทบทางธุรกิจที่ผ่านมานั้น นักวิเคราะห์คาดว่า สัดส่วนการตลาดโลกของสมาร์ทโฟนที่หัวเหว่ยเคยถือไว้ที่ราว 20.2 เปอร์เซ็นต์เมื่อไตรมาสที่ 2 ของปีที่แล้ว น่าจะหดหายเหลือเพียง 4 เปอร์เซ็นต์ ภายในสิ้นปีนี้แล้ว