นักวิเคราะห์เปิดเผยว่า การส่งออกของไต้หวันในช่วงที่ผ่านมาพุ่งสูงต่อเนื่องแม้สภาวะการค้าโลกจะถูกกดดันจากวิกฤตโควิด-19 น่าจะเป็นเหตุมาจากการที่บริษัทเทคโนโลยีจีนหันมาสั่งซื้อจากผู้ผลิตในภูมิภาคมากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ ขณะที่ยังมีความตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศมหาอำนาจอยู่
รายงานข่าวระบุว่า บริษัทเทคโนโลยีที่เป็นผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ของจีนเริ่มกักตุนเซมิคอนดักเตอร์ที่ผลิตในไต้หวัน ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนจำพวก ชิปประมวลผล ที่มีความก้าวล้ำนำสมัยที่สุดรายหนึ่งของโลก ทำให้ยอดการส่งออกจากไต้หวันมาจีนเพิ่มขึ้นราว 6 เปอร์เซ็นต์ในช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคมและเดือนกันยายน
สำนักข่าว Central News Agency ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลไต้หวันเปิดเผยว่า ข้อมูลการส่งออกของเดือนกันยายนเพียงเดือนเดียวสะท้อนให้เห็นว่ามี “การเร่งส่งสินค้า” จากไต้หวันไปยัง หัวเหว่ย ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของจีน และไปยัง Semiconductor Manufacturing International Corp ซึ่งเป็นโรงงานผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของจีน
ก่อนหน้านี้ จีนประกาศว่าจะผลักดันให้ประเทศกลายมาเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีโลก แต่ผู้ผลิตในประเทศยังไม่สามารถคิดค้นและผลิตชิปที่สมบูรณ์แบบพอสำหรับเทคโนโลยี 5G ได้เลย
แต่ขณะที่ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างจีนและไต้หวันอยู่ในภาวะค่อนข้างดี ทั้งสองยังคงมีปัญหาข้อพิพาททางการเมืองอยู่ ดังที่จีนอ้างมาเสมอว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของตน แม้ไต้หวันจะปฏิเสธความพยายามรวมชาติ และรัฐบาลกรุงไทเปพยายามผลักดันให้บริษัทของตนลดการพึ่งพาตลาดจีนลง
อลิเชีย การ์เซีย เฮอร์เรโร นักเศรษฐศาสตร์ด้านเอเชีย-แปซิฟิก จากธนาคารเพื่อการลงทุน Natixis ของฝรั่งเศส ให้ความเห็นว่า ความพยายามของจีนที่จะพึ่งพาตนเองนั้นไม่ได้หมายถึง การพึ่งตนเองอย่างเบ็ดเสร็จ เพราะจีนยังไม่มีความพร้อม และสถานการณ์เช่นนี้น่าจะกลายมาเป็นตัวเกื้อหนุนอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวันให้ก้าวหน้าและขยายขึ้นไปอีกมากกว่า
ขณะเดียวกัน ซอง เซ็ง วุน นักเศรษฐศาสตร์จาก ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ของมาเลเซีย กล่าวว่า การที่นโยบายต้านบริษัทเทคโนโลยีจีนของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงอยู่และไม่มีวี่แววว่าจะผ่อนคลายลงภายใต้การนำรัฐบาลใหม่ของว่าที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ทำให้จีนต้องยิ่งรู้สึกต้องเร่งกระบวนการต่างๆ ให้พึ่งตนเองมากขึ้นโดยเร็วด้วย
