ประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ เรียกร้องให้ประชาคมโลกหันหน้ามาทำงานร่วมกันเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ที่ทุกประเทศต้องช่วยกันรับมือ
ในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในวันอังคารตามเวลาในสหรัฐฯ ปธน.ไบเดน ระบุว่า “ความมั่นคง ความเจริญรุ่งเรือง และเสรีภาพของทุกคนล้วนมีความเกี่ยวเนื่องระหว่างกัน ในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” และย้ำว่า สหรัฐฯ ได้กลับคืนสู่เวทีหารือระดับนานาชาติต่างๆ แล้ว โดยเฉพาะที่องค์การสหประชาชาตินี้
คำประกาศของผู้นำสหรัฐฯ นี้ แสดงให้เห็นถึงภาพที่กลับกันอย่างสิ้นเชิงจากหลักการ America First หรือ “อเมริกาต้องมาก่อนใคร” ที่อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ชูเป็นนโยบายหลัก
นอกจากการเรียกร้องให้ทุกประเทศหันมาร่วมมือกันแล้ว ปธน.ไบเดน ยังระบุว่า “สรรพกำลังทางทหารของสหรัฐฯ ต้องเป็นทางเลือกสุดท้าย ไม่ใช่ตัวเลือกแรก และ(การใช้กำลังทางทหาร) ไม่ควรเป็นคำตอบสำหรับปัญหาทุกปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ทั่วโลก”
ในคำสุนทรพจน์ที่นำเสนอต่อที่ประชุมครั้งนี้ ปธน.ไบเดน ยังยืนยันว่า สหรัฐฯ ไม่มีแผนที่จะยกระดับความขัดแย้งกับผู้ใด ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเป็นการกล่าวพาดพิงถึง จีน คู่ปรับตัวจริงของรัฐบาลวอชิงตัน ที่เป็นประเด็นซึ่ง อันโตนิโอ กูเทอเรซ เลขาธิการใหญ่องค์การสหประชาชาติ กังวลจนต้องออกมาเรียกร้องเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาให้สหรัฐฯ และจีน หาทางฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างกัน เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะสงครามเย็นรอบใหม่เสีย
ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวว่า “สหรัฐฯ ไม่ได้กำลังพยายามก่อสงครามเย็นรอบใหม่ หรือ สร้างโลกที่มีการแบ่งแยกเป็นส่วนๆ” และว่า “สหรัฐฯ พร้อมที่จะทำงานร่วมกับประเทศใดๆ ที่ต้องการทางออกอันเป็นสันติวิธีในการรับมือกับความท้าทายที่เราต้องร่วมเผชิญด้วยกัน แม้ว่า จะมีประเด็นความไม่ลงรอยรุนแรงในบางเรื่องอยู่บ้างก็ตาม เพราะว่า ทุกฝ่ายต่างจะต้องรับผลกรรมจากความล้มเหลวของตนเอง หากเราทุกคนไม่ร่วมมือกันเพื่อแก้ไขปัญหาภัยคุกคามเร่งด่วน อย่างเช่น โควิด-19 ปัญหาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง หรือแม้แต่ ภัยจากการแพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (nuclear proliferation)”
ทั้งนี้ เวทีการประชุมประจำปีสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาตินั้น ถือเป็นเวทีระดับโลกที่ใหญ่ที่สุด ที่ประเทศสมาชิกทั้ง 193 ประเทศร่วมหารือประเด็นความท้าทายต่างๆ ทั้งระดับภูมิภาคและระดับโลก
ปธน.ไบเดน เข้าร่วมการประชุมในปีนี้ด้วยตนเอง หลังเดินทางไปยังนครนิวยอร์กในช่วงเย็นของวันจันทร์ เพื่อพบปะกับผู้นำประเทศอีกราว 100 คนที่ที่ทำการใหญ่องค์การสหประชาชาติ ขณะที่ ผู้นำหลายประเทศ เช่น จีน อิหร่าน อียิปต์ และโซมาเลีย ส่งภาพบันทึกภาพการกล่าวสุนทรพจน์ของตนล่วงหน้ามาเผยแพร่ในการประชุมแทน
และหลังการกล่าวสุนทรพจน์เสร็จสิ้นแล้ว ผู้นำสหรัฐฯ มีกำหนดประชุมนอกรอบกับนายกรัฐมนตรี สก็อตต์ มอร์ริสัน แห่งออสเตรเลีย ก่อนจะเดินทางกลับไปยังทำเนียบขาวเพื่อต้อนรับนายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน แห่งอังกฤษ เพื่อหารือประเด็นต่างๆ ต่อไป