Your browser doesn’t support HTML5
ทำเนียบขาวมีคำแถลงเมื่อเช้าวันอังคาร หลังจากที่การหารือระหว่างประธานาธิบดี โจ ไบเดนของสหรัฐฯ กับประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ของจีนผ่านระบบออนไลน์ซึ่งใช้เวลาถึงกว่าสามชั่วโมงครึ่งเสร็จสิ้นลง โดยฝ่ายสหรัฐฯ กล่าวถึงการพูดคุยครั้งนี้ว่า เป็นไปอย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมา และด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน ส่วนโฆษกของรัฐบาลจีนเรียกการประชุมดังกล่าวว่า เป็นไปอย่างสร้างสรรค์ มีเนื้อหาสาระ ตรงไปตรงมาและเป็นประโยชน์ด้วย
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สหรัฐฯ มองจีนว่าเป็นคู่แข่งทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญและประเด็นในความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศก็มีตั้งแต่เรื่องเศรษฐกิจ เทคโนโลยี ทรัพย์สินทางปัญญา การทหาร การทูต รวมทั้งเรื่องสิทธิมนุษยชน โดยในการหารือแบบตัวต่อตัวครั้งแรกผ่านระบบออนไลน์เมื่อคืนวันจันทร์ตามเวลาในสหรัฐฯ ประธานาธิบดีไบเดนกล่าวว่า เป็นหน้าที่ของผู้นำทั้งสองที่จะต้องทำให้แน่ใจว่าการแข่งขันระหว่างประเทศจะไม่ขยายตัวกลายเป็นความขัดแย้ง ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม และทั้งสองประเทศควรต้องสร้างกลไกป้องกันเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและเพื่อร่วมมือในเรื่องที่เป็นไปได้
อย่างไรก็ตามประธานาธิบดีไบเดนยืนยันว่า สหรัฐฯ จะยังคงยืนหยัดเพื่อปกป้องผลประโยชน์และค่านิยมของตน รวมทั้งร่วมมือกับพันธมิตรและผู้ร่วมงานอื่นๆ เพื่อให้แน่ใจว่ากฎเกณฑ์ต่างๆ สำหรับศตวรรษที่ 21 จะช่วยส่งเสริมระบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เสรี เปิดกว้าง และยุติธรรม
ในเรื่องเกี่ยวกับไต้หวันนั้นทำเนียบขาวมีคำแถลงว่า สหรัฐฯ ยังคงสนับสนุนนโยบายจีนเดียว ไม่เห็นด้วยกับการแยกตัวเป็นอิสระของไต้หวัน และคัดค้านความพยายามใดๆ แต่เพียงฝ่ายเดียวเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานะที่เป็นอยู่ในขณะนี้ หรือที่จะบ่อนทำลายสันติภาพรวมทั้งเสถียรภาพเกี่ยวกับไต้หวันด้วย
ในส่วนของจีนนั้น ประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ยอมรับว่ามีปัญหาหลายด้านในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสอง และว่า ทั้งสองประเทศควรจะบริหารกิจการภายในของตนให้ได้ผลดี แบกรับภาระความรับผิดชอบระหว่างประเทศที่มีอยู่ รวมทั้งทำงานร่วมกันเพื่อส่งเสริมเป้าหมายเกี่ยวกับสันติภาพและการพัฒนาของโลกซึ่งเป็นที่ต้องการของประชาชนทั้งในจีนและสหรัฐฯ และของผู้คนทั่วโลกด้วย
ถึงแม้การสนทนาจะครอบคลุมประเด็นต่างๆ ในความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมาก็ตาม เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ กล่าวว่า ไม่มีความคืบหน้าอย่างสำคัญใดๆ ที่จะรายงาน และว่า เป้าหมายของการหารือครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อจะลดความตึงเครียดหรือคาดหวังผลลัพธ์ในเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นักวิเคราะห์บางคนเช่น Matthew Goodman ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายเศรษฐกิจของ Center for Strategic and International Studies เห็นว่า การไม่มีผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมจากการประชุมครั้งนี้ดูจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร เพราะเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าที่ผู้นำของสองประเทศมีโอกาสได้หารือกัน
ส่วน Patrick Cronin ผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียของ Hudson Institute ไม่เชื่อว่าการพบปะออนไลน์ครั้งนี้จะช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนเปลี่ยนไปอย่างมีนัยยะสำคัญได้ เพราะสภาพความสัมพันธ์ขณะนี้ตกต่ำลงจากเมื่อ 8 ปีที่แล้วและมีความตรึงเครียดเพิ่มมากขึ้นด้วย ส่วน Robert Daly ผู้อำนวยการสถาบัน Kissinger Institute on China and the United States ของ Wilson Center มองว่า ไม่มีหลักฐานที่แสดงว่าผู้นำฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ทบทวนผลประโยชน์ เป้าหมาย และยุทธศาสตร์ของตัวเอง พร้อมทั้งชี้ว่า ผู้นำทั้งสองนั้นกำลังพยายามมองหาวิธีเพื่อตอบรับเป้าหมายและความต้องการขั้นต่ำที่สุดของอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถบริหารความสัมพันธ์แบบการแข่งขันนี้ได้ต่อไปแทนที่จะต้องลุกลามบานปลายกลายเป็นความขัดแย้งขึ้นมา
ทางด้านนักวิเคราะห์ของจีนเองอย่างเช่น อาจารย์ Yu Wanli ของมหาวิทยาลัย Beijing Language and Cultural University มองว่า เป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้นำทั้งสองที่จะต้องกำหนดลักษณะความสัมพันธ์และพยามควบคุมทิศทาง โดยเขาเสริมว่า จีนจะรอดูโอกาสที่ผู้นำสหรัฐฯ จะดำเนินการแต่ก็เข้าใจถึงปัญหาและข้อจำกัดทางการเมืองซึ่งประธานาธิบดีไบเดนมีอยู่ในประเทศ เช่นเดียวกับ Wang Huiyao ผู้อำนวยการของ Center for China and Globalization ในกรุงปักกิ่งที่เห็นว่า การหารือระดับผู้นำครั้งนี้จะช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับจีนไม่ตกต่ำลง และจะช่วยส่งสัญญานในทางบวกให้เจ้าหน้าที่ระดับผู้ปฏิบัติงานของทั้งสองประเทศสามารถหารือเพื่อหาจุดร่วมกันได้ต่อไป
แต่นอกจากเรื่องเนื้อหาและผลที่น่าจะเกิดขึ้นจากการพบปะออนไลน์ครั้งแรกนี้แล้ว ในแง่ของการประชุมออนไลน์เองนั้นอาจารย์ Jeremi Suri นักประวัติศาสตร์ของ University of Texas ที่เมืองออสตินชี้ว่า รูปแบบของการประชุมออนไลน์อาจเป็นก้าวที่ดีเพราะช่วยให้ผู้นำทั้งคู่รู้สึกว่าตนเองสามารถควบคุมสถานการณ์ได้โดยไม่จำเป็นต้องเป็นแขกรับเชิญของอีกประเทศหนึ่งและถ้าจะมองในแง่ของการส่งสัญญาณบางอย่างจากการประชุมครั้งนี้ด้วยแล้ว สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ ประธานาธิบดีไบเดนผูกเนคไทสีแดงสด ซึ่งเป็นสีที่เป็นมงคลสำหรับจีน ส่วนประธานาธิบดีสี จิ้น ผิงเองผูกเนคไทสีฟ้า ซึ่งเป็นสีสัญลักษณ์ของพรรคเดโมแครตด้วย