ทางการจีนเปิดเผยเมื่อวันเสาร์ว่า จีนได้กดดันให้สหรัฐฯ ยกเลิกกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ในการเจรจาระหว่างผู้แทนการค้าระดับสูงของสองประเทศซึ่งถูกมองว่าเป็นบททดสอบสำคัญในการทำงานร่วมกันของสองประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
การประชุมผ่านออนไลน์ระหว่างผู้แทนการค้าอเมริกัน แคเธอรีน ไท่ และรองนายกรัฐมนตรีจีน หลิว เหอ มีขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยทางสหรัฐฯ ต้องการให้จีนกลับสู่ข้อตกลงการค้า "เฟส 1" ที่ทำไว้กับสหรัฐฯ ตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
สำนักข่าวซินหว่าของทางการจีน รายงานว่า ผู้แทนของจีนได้เจรจาเกี่ยวกับการยกเลิกมาตรการทางภาษีและการลงโทษของสหรัฐฯ รวมทั้งชี้แจงถึงจุดยืนของจีนเกี่ยวกับรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจและนโยบายด้านอุตสาหกรรม และว่า "ทั้งสองฝ่ายได้แสดงความกังวลของตน และตกลงที่จะจัดการความกังวลนั้นผ่านการหารือซึ่งกันและกัน" รวมทั้งจัดทำเงื่อนไขสำหรับการพัฒนาทางเศรษฐกิจและความสัมพันธ์การค้าที่เข้มแข็งเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจโลก
ด้านสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ระบุว่า การหารือครั้งนี้ถือเป็นบททดสอบสำคัญว่า จีนกับสหรัฐฯ จะสามารถทำงานร่วมกันเพื่อจัดการความกังวลของอเมริกาว่าด้วยการได้เปรียบและการอุดหนุนทางการค้าของปักกิ่งหรือไม่
ทั้งนี้ ข้อตกลงการค้า "เฟส 1" ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่จัดทำขึ้นเมื่อเดือนมกราคม ช่วยบรรเทาความตึงเครียดเรื่องสงครามการค้าระหว่างสองประเทศลงได้ โดยมีสาระสำคัญคือการที่จีนสัญญาว่าจะเพิ่มการซื้อสินค้าการเกษตร อุตสาหกรรม พลังงงานและภาคบริการจากอเมริกา รวมมูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์ในช่วง 2 ปีข้างหน้า รวมทั้งเพิ่มการปกป้องลิขสิทธิ์ เครื่องหมายการค้า และทรัพย์สินทางปัญญาต่าง ๆ ของสหรัฐฯ ด้วย
นอกจากนี้ รัฐบาลอเมริกันชุดก่อนยังมีแผนจัดทำข้อตกลง "เฟส 2" เพื่อจัดการกับปัญหาที่ยากขึ้น เช่น การที่จีนอุดหนุนรัฐวิสาหกิจ และนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ด้านอุตสาหกรรมของจีน
ก่อนการหารือครั้งล่าสุด สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ กล่าวว่า แคเธอรีน ไท่ จะนำเสนอรายงานการประเมินผลงานของจีนภายใต้ข้อตกลงการค้าเฟส 1 ซึ่งไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
อย่างไรก็ตาม สถานทูตจีนประจำกรุงวอชิงตันมีแถลงการณ์ในวันเสาร์ว่า จีนได้พยายามทำตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในเฟส 1 แม้ว่ามีความท้าทายหลายประการ รวมทั้งการระบาดของโควิด-19 พร้อมทั้งกล่าวหาสหรัฐฯ กลับว่า ใช้กำแพงการค้าและจำกัดธุรกรรมของบริษัทจีนในอเมริกาด้วย