Your browser doesn’t support HTML5
ขณะนี้มีชาวอัฟกานิสถานจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกว่าตัวเองถูกหักหลังจากการช่วยทำงานให้รัฐบาลของประเทศตะวันตกในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา แต่หลังจากที่กลุ่มตาลิบันเข้ายึดครองอำนาจได้ก็กลับพบว่าตนต้องตกอยู่ระหว่างสถานการณ์ของความเป็นกับความตายเพราะไม่สามารถเดินทางออกจากประเทศได้ตามที่ต้องการ
และจากการที่กำหนดเวลาของการอพยพชาวอัฟกานิสถานโดยรัฐบาลสหรัฐฯ ได้สิ้นสุดลงในวันที่ 31 สิงหาคม ชาวอัฟกานิสถานจำนวนไม่น้อยก็ไม่คาดหวังว่ากลุ่มตาลิบันจะรักษาคำมั่นสัญญาว่าจะไม่ขัดขวางหรือจะไม่แก้แค้นต่อพวกตน เพราะถึงแม้ผู้นำกลุ่มตาลิบันจะให้สัญญาว่าจะไม่ห้ามหรือขัดขวางชาวอัฟกานิสถานที่ต้องการเอกสารอย่างเป็นทางการ เช่น หนังสือเดินทางหรือวีซ่าเพื่อเดินทางออกจากประเทศหลังจากที่เที่ยวบินพาณิชย์ต่างๆ กลับมาให้บริการตามปกติอีกครั้งได้ก็ตาม
แต่ผู้ที่เคยทำงานใกล้ชิดกับหน่วยงานหรือรัฐบาลของประเทศตะวันตกก็ไม่เชื่อในคำกล่าวนี้เพราะเกรงว่าตนอาจอยู่ในรายชื่อที่ถูกจับตามอง และหากไปติดต่อขอเอกสารหรือต่ออายุหนังสือเดินทาง หรือแม้กระทั่งเข้าแถวรอเพื่อขอวีซ่าที่หน้าสถานทูตของประเทศตะวันตกพวกตนก็อาจถูกจับกุมและถูกลงโทษได้
ชาวอัฟกานิสถานบางคน เช่น คุณอาเล็ม ผู้เคยทำงานให้กับโครงการด้านการศึกษาและวัฒนธรรมของสหรัฐฯ ถึงกับบอกว่า ตนไม่รู้ว่าจะวางแผนอนาคตอย่างไร เพราะไม่ทราบว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในอีกหนึ่งชั่วโมงหรือในอีกไม่กี่นาทีต่อจากนี้
มีชาวอัฟกานิสถานหลายคนที่ยอมรับกับวีโอเอว่า กำลังพยายามหาเส้นทางทางบกเพื่อหลบหนีออกจากประเทศ จากความกลัวว่ากลุ่มตาลิบันจะมาใช้การปกครองแบบเข้มงวดที่จำกัดสิทธิของสตรีและเด็กอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม การใช้เส้นทางหลบหนีทางบกสำหรับสตรีชาวอัฟกานิสถานซึ่งไม่มีผู้ชายร่วมเดินทางไปด้วยนั้น ก็อาจเรียกได้ว่าเป็นการเดินทางที่สุ่มเสี่ยงมากทีเดียว
คุณอีซิน นักศึกษาหญิงวัย 22 ปีผู้กำลังหลบซ่อนตัวพร้อมกับแม่และน้องสาวอีกสองคนยอมรับว่า เส้นทางถนนส่วนใหญ่อยู่ใต้ความควบคุมของกลุ่มตาลิบันและก็ดูเหมือนจะไม่มีเส้นทางที่ปลอดภัยสำหรับเธอกับครอบครัวเลย
ขณะนี้หน่วยงานเอ็นจีโอและเจ้าหน้าที่รัฐบาลประเทศตะวันตกหลายแห่งได้รับคำวิงวอนจากชาวอัฟกานิสถานที่ขอให้ช่วยหาทางให้พวกตนสามารถเดินทางออกจากประเทศได้ และขณะนี้หลายหน่วยงานได้พิจารณาเส้นทางทางบกซึ่งเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ปากีสถาน อิหร่าน ทาจิกิสถาน อุซเบกิสถาน และเติร์กมินิสถาน เป็นต้น
ถึงแม้เส้นทางส่วนใหญ่เหล่านี้จะถูกปิดตัวลงก็ตาม แต่ก็ยังถูกใช้อย่างผิดกฎหมายโดยชาวอัฟกานิสถานจำนวนไม่น้อยผู้ยอมมอบชะตาชีวิตให้อยู่ในมือของกลุ่มนักลักลอบขนสินค้าเถื่อนข้ามพรมแดน
SEE ALSO: จากอากาศสู่พื้นดิน: ชาวอัฟกันหาทางหลบหนีตามแนวพรมแดนหลังใกล้กำหนดเส้นตายอพยพที่สนามบิน
คุณแคทรีน มาโฮนี โฆษกของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งประชาชาติหรือ UNHCR กล่าวว่า ขณะนี้แม้เรายังไม่ได้เห็นคลื่นผู้อพยพข้ามพรมแดนขนานใหญ่ก็ตามแต่ก็มีชาวอัฟกานิสถานถึงราว 3 ล้าน 5 แสนคนที่ต้องพลัดพรากจากที่อยู่ของตนในประเทศ และเท่าที่ผ่านมาอิหร่านกับปากีสถานได้ช่วยให้ที่พักพิงแก่ผู้ลี้ภัยจากอัฟกานิสถานจำนวนมากในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา แต่เราก็ไม่สามารถคาดหวังได้ว่าเรื่องที่ว่านี้จะยังเป็นไปได้อยู่ต่อไป
ขณะนี้รัฐบาลของประเทศตะวันตกบางรายได้เริ่มเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านของอัฟกานิสถาน เช่น ทาจิกิสถานและอุซเบกิสถานเพราะการอพยพผู้คนออกจากประเทศทางอากาศนั้นจะมีผลช่วยได้เพียงแค่เสี้ยวเดียวของชาวอัฟกานิสถานหลายล้านคนซึ่งต้องการเดินทางออกจากประเทศ
SEE ALSO: สหรัฐฯ สิ้นสุดภารกิจทางทหาร 20 ปีในอัฟกานิสถานอย่างเป็นทางการ
และเส้นทางทางบกที่มุ่งไปยังอุซเบกิสถานกับทาจิกิสถานดังกล่าวอาจจะมีความเสี่ยงน้อยที่สุดตามความเห็นของคุณอาดัม เดอมาโค อดีตทหารผ่านศึกในอัฟกานิสถานผู้เป็นโฆษกของกลุ่มชื่อ Allied Airlift 21 ที่กำลังช่วยเรื่องการอพยพผู้คนในอัฟกานิสถานอยู่ขณะนี้
โดยคุณอาดัม เดอมาโค บอกว่า เส้นทางไปสู่ปากีสถานนับว่ามีอันตรายมากที่สุดเพราะจะต้องผ่านพื้นที่ๆ กลุ่มตาลิบันมีอำนาจควบคุมอยู่ เช่น จังหวัดโคนาและนันกาฮาร์ เป็นต้น แต่ขณะเดียวกันเส้นทางที่มุ่งไปยังอุซเบกิสถานกับทาจิกิสถานแม้จะค่อนข้างปลอดภัย แต่ก็อาจเป็นผลให้ผู้อพยพต้องตกอยู่ท่ามกลางการสู้รบระหว่างกองกำลังฝ่ายต่อต้านของนายอาหมัด มาซูดกับนักรบของกลุ่มตาลิบัน ได้เช่นกัน