ผู้นำยูเครนร้องขอให้สหภาพยุโรป (อียู) ตัดสินใจดำเนินมาตรการลงโทษธนาคารทุกแห่งของรัสเซียและยุติการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียด้วย เพื่อช่วยให้ภาวะสงครามที่ลากยาวมาเกือบ 2 เดือนสิ้นสุดลงโดยเร็ว
ในระหว่างการกล่าวปราศรัยต่อหน้าสมาชิกสภาลิทัวเนียผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ในวันอังคาร ประธานาธิบดี โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ระบุว่า หากชาติสมาชิกอียูยังคงเดินหน้าทำการค้าขายกับรัสเซียต่อไป ผู้นำรัสเซีย “จะเชื่อว่า ตนจะไม่มีทางถูกลงโทษเป็นอันขาด”
ที่ผ่านมา สมาชิกอียูดำเนินมาตรการลงโทษต่อเจ้าหน้าที่รัฐบาลและภาคธุรกิจรัสเซียมาหลายรอบแล้ว แต่ยังไม่กล้าที่จะสั่งระงับการนำเข้าแก๊สและน้ำมันจากรัสเซียอย่างที่ปธน.เซเลนสกีเรียกร้อง ขณะที่ ผู้นำยุโรปบางคนแสดงความกังวลว่า การดำเนินการดังว่าอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจของตนที่พึ่งพาพลังงานจากรัสเซียอย่างมากอยู่
ถึงกระนั้น ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ประกาศในวันอังคารว่า “เป็นเรื่องแทบเป็นไปไม่ได้แล้วที่จะโดดเดี่ยวใครสักคนในโลก โดยเฉพาะประเทศที่มีขนาดใหญ่อย่างรัสเซีย”
ขณะเดียวกัน รัฐบาลรัสเซียผิดนัดชำระหนี้พันธบัตรของตนเป็นครั้งแรกในรอบกว่าศตวรรษ ตามรายงานของบริษัท S&P Global ที่ติดตามระดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลและบริษัทขนาดใหญ่ต่างๆ ทั่วโลก
รายงานดังกล่าวระบุว่า การที่รัฐบาลมอสโกไม่สามารถเข้าถึงเงินทุนสำรองในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ฝากไว้ตามธนาคารต่างประเทศ ทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ก้อนแรกมูลค่าประมาณ 649 ล้านดอลลาร์ในสกุลเงินรูเบิล เมื่อวันที่ 4 เมษายน
ทั้งนี้ รัสเซียผิดชำระหนี้ในครั้งนี้เป็นผลมาจากมาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจจากนานาประเทศเพื่อตอบโต้การส่งกองทัพเข้ารุกรานยูเครน
แม้จะมีการดำเนินการลงโทษมากมายมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ธนาคารในสหรัฐฯ ยังคงได้รับอนุญาตให้ทำธุรกรรมทางการเงินบางรายการของรัฐบาลรัสเซียได้อยู่ จนกระทั่ง กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ให้มีการจำกัดการเข้าถึงสินทรัพย์ในต่างประเทศที่มอสโกฝากไว้กับธนาคารสัญชาติอเมริกันทั้งหลาย
อย่างไรก็ตาม รัสเซียมีช่วงเวลาผ่อนผันการชำระหนี้ได้ 30 วัน ซึ่งก็คือ ถึงต้นเดือนพฤษภาคม เพื่อชำระหนี้ก้อนดังกล่าวเรียบร้อย เพื่อไม่ให้เสียประวัติ แต่ S&P Global ระบุในแถลงการณ์ว่า ทางบริษัทไม่คิดว่า รัสเซียจะชำระหนี้ก้อนนี้ได้เลย