สหประชาชาติเรียกร้องให้ การเข้าถึงน้ำสะอาดเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และเสนอให้ประเทศต่างๆ ร่วมกันทำให้ประชาชนทั่วโลกมีน้ำสะอาดใช้อย่างทั่วถึงภายในปี ค.ศ. 2030 หรืออีก 11 ปีจากนี้
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่ายังมีคนจำนวนมากขาดแคลนน้ำสะอาด
หน่วยงาน UNICEF และองค์การอนามัยโลกเคยทำสำรวจและพบว่าประชากร 780 ล้านคนทั่วโลกต้องการความช่วยเหลือเพื่อให้พวกเขาได้มีน้ำสะอาดใช้
โรบิน ฟิสเชอร์ จากหน่วยงาน WaterAid America ตั้งคำถามที่ให้คนทั่วไปจินตนาการถึงความยากลำบากจากการเดินทางหลายกิโลเมตรเมื่อให้เข้าถึงแหล่งน้ำสะอาด และห้องสุขาที่ปลอดภัยในแต่ละวัน
ขณะเดียวกัน เจสัน บรูคส์ ที่ปรึกษาองค์กร ADRA International ระบุว่าน้ำเป็นสิ่งสำคัญ และหากไม่มีน้ำเราไม่สามารถดำรงชีวิตตามปกติได้
เขากล่าวว่า การเข้าไม่ถึงแหล่งน้ำสะอาดเป็นอุปสรรคที่สำคัญยิ่งต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสุขอนามัย
องค์กรของเขาร่วมกับชุมชนท้องถิ่น ขุดบ่อเก็บน้ำและติดตั้งเครื่องมือปั๊มน้ำสะอาดมาให้คนที่อยู่ในถิ่นกันดารใช้
เขาบอกว่า โครงการลักษณะนี้ เช่นที่ทำอยู่ในประเทศโมซัมบิคแห่งทวีปแอฟริกา ช่วยจ้างงานราว 7 พันตำแหน่งทั่วโลก
เจสัน บรูคส์ กล่าวว่า หากไม่ได้รับความร่วมมือจากคนท้องถิ่นและผู้นำชุมชน งานต่างๆ จะไม่สามารถเดินหน้าและถูกสานต่อไปได้
ทูตสหภาพแอฟริกาประจำสหรัฐฯ ดร. ชิโฮมโบรี กัว เล่าว่า เด็กหญิงจำนวนมากขาดโอกาสทางการศึกษาเพราะต้องช่วยทางบ้านทำงาน ซึ่งในบรรดางานเหล่านั้นประกอบด้วยการเดินทางไปนำน้ำสะอาดมายังครัวเรือน
ขณะเดียวกัน ลินซีย์ เดนนี แห่งโครงการ Global Water 2020 ระบุว่าน้ำเกี่ยวโยงกับการดูแลสุขภาพโดยตรง กล่าวคือถ้าโรงพยาบาลขาดน้ำการทำความสะอาดเครื่องมือและการรักษาสุขอนามัยจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ นั่นยังไม่รวมถึงการดื่มน้ำเพื่อรับประทานยา
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า การสร้างระบบพื้นฐานสำหรับการเข้าถึงน้ำสะอาดเป็นการลงทุนที่คุ้ม
โรบิน ฟิสเชอร์ กล่าวว่า หัวใจของเรื่องนี้คือการจัดลำดับความสำคัญของการใช้เงิน เพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานของประชาชน
(รัตพล อ่อนสนิท เรียบเรียงจากรายงานของผู้สื่อข่าว Arash Arabasadi)