เจ้าหน้าที่ด้านข่าวกรองของสหรัฐฯ เตือนว่า กองทัพรัสเซียอาจระดมโจมตีอย่างหนัก "โดยไม่เจาะจงเป้าหมาย" ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า สืบเนื่องจากปฏิบัติการทางทหารที่ล้มเหลวในยูเครน และการพยายามตอบโต้มาตรการลงโทษจากชาติตะวันตก
ในรายงานประเมินภัยคุกคามทั่วโลกประจำปี 2022 ที่จัดทำโดยหน่วยงานด้านข่าวกรองของสหรัฐฯ และนำเสนอต่อรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันอังคาร ระบุถึงการต่อต้านอย่างเข้มแข็งของกองกำลังและประชาชนยูเครนในช่วงหลายวันที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม รายงานเตือนว่า กรุงเคียฟอาจขาดแคลนอาหารและน้ำภายในเวลา 10 วันข้างหน้า
วิลเลียม เบินส์ ผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ หรือ ซีไอเอ กล่าวว่า "ช่วงเวลาไม่กี่สัปดาห์จากนี้จะเป็นช่วงเวลาที่เลวร้าย" โดยประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน อาจเพิ่มระดับการโจมตียูเครนเป็นสองเท่าโดยไม่คำนึงถึงจำนวนผู้เสียชีวิต เพื่อครอบครองและควบคุมกรุงเคียฟให้ได้ตามที่ตั้งใจไว้
บรรดาเจ้าหน้าที่ข่าวกรองและเจ้าหน้าที่ด้านการทหารของสหรัฐฯ เชื่อว่า เวลานี้กำลังเกิดความไม่พอใจอย่างยิ่งในหมู่ผู้นำทหารระดับต่าง ๆ ของรัสเซียไปจนถึงประธานาธิบดีปูติน ที่กองทัพรัสเซียยังไม่สามารถยึดครองกรุงเคียฟได้แม้ผ่านไปแล้วสองสัปดาห์ จากเดิมที่คาดไว้ว่าจะสามารถยึดครองได้ภายในสองวัน และคาดว่ามีทหารรัสเซียเสียชีวิตไปแล้ว 2,000 - 4,000 คน
เอฟริล เฮนส์ ผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติของสหรัฐฯ กล่าวว่า กองทัพรัสเซียเจอแรงต้านจากยูเครนมากกว่าที่คาดไว้ และกำลังประสบความล้มเหลวในปฏิบัติการทหารครั้งนี้ แต่เธอเชื่อว่าปูตินจะไม่ยอมแพ้เพราะเชื่อมั่นว่านี่เป็นสงครามที่รัสเซียแพ้ไม่ได้
เฮนส์ กล่าวต่อสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ ว่า สิ่งที่ยังไม่สามารถบอกได้ในตอนนี้คือ ปูตินจะใช้สรรพกำลังที่มีอยู่ทั้งหมดระดมโจมตีเพื่อล้มล้างรัฐบาลยูเครนให้ได้หรือไม่ เพราะนั่นหมายความว่าต้องใช้ทรัพยากรมหาศาลไปกับสงครามในยูเครน ซึ่งยังไม่แน่ว่าจะคุ้มค่ากับสิ่งที่ปูตินต้องการ และหากยึดครองยูเครนได้สำเร็จจริง รัสเซียก็ยังอาจต้องเผชิญกับการสู้รบของกลุ่มแข็งข้อต่อต้านในยูเครนอีกในระยะยาว
ในส่วนของความกังวลเรื่องสงครามนิวเคลียร์ หน่วยงานข่าวกรองของสหรัฐฯ กล่าวว่า การที่ปูตินตัดสินใจสั่งการให้กองกำลังนิวเคลียร์ของรัสเซียเตรียมพร้อมรับเหตุการณ์ฉุกเฉินนั้น "เป็นเรื่องผิดปกติอย่างยิ่ง" แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณว่ากองกำลังดังกล่าวมีการเคลื่อนไหวที่น่ากังวลแต่อย่างใด
บรรดาเจ้าหน้าที่ข่าวกรองสหรัฐฯ ยังเตือนถึงการกระชับความสัมพันธ์ของรัสเซียกับจีนในช่วงที่กำลังเกิดวิกฤตในยูเครน เนื่องจากทั้งสองฝ่ายต่างมองว่าการร่วมมือกันนั้นจะทำให้เกิดประโยชน์ต่อทั้งคู่ในการต่อต้านอิทธิพลของสหรัฐฯ และชาติตะวันตก แต่ในทางกลับกัน ผู้นำจีนอาจกำลังไม่มั่นใจต่อสถานการณ์ในยูเครนที่มีต่อเศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจโลก รวมทั้งการที่สหรัฐฯ กับชาติตะวันตกใกล้ชิดกันยิ่งขึ้นเพื่อรับมือกับการคุกคามจากรัสเซีย
รายงานประเมินภัยคุกคามทั่วโลกประจำปี ยังระบุด้วยว่า จีนยังคงเป็นภัยคุกคามอันดับหนึ่งของสหรัฐฯ โดยจีนได้ขยายศักยภาพทางอาวุธนิวเคลียร์ไปมากในช่วงที่ผ่านมา รวมทั้งการพัฒนาโครงการด้านอวกาศ และการคุกคามทางไซเบอร์