ระบบธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) หรือ เฟด ประกาศลดอัตราดอกเบี้ย 0.5% ในวันพุธ ซึ่งถือว่าเป็นการปรับลดครั้งใหญ่ครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปี หลังจากที่ปรับดอกเบี้ยขึ้นมาอย่างต่อเนื่องเพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการกู้ยืมเงินของคนอเมริกัน
การลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงเป้าหมายใหม่ของเฟดในการกระตุ้นตลาดการจ้างงานซึ่งส่งสัญญาณชะลอตัวลงในช่วงที่ผ่านมา และมีขึ้นก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพียงไม่กี่สัปดาห์
การตัดสินใจของเฟดมีผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลงมาอยู่ที่ระดับ 4.8% จาก 5.3% ก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นระดับที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตลอด 14 เดือนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ลดลงจากระดับสูงสุดที่ 9.1% เมื่อกลางปี 2022 ลงมาอยู่ที่ระดับ 2.5% เมื่อเดือนสิงหาคม ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อในระยะยาวที่เฟดกำหนดไว้ที่ 2%
ผู้กำหนดนโยบายของเฟดส่งสัญญาณด้วยว่า อาจมีการลดดอกเบี้ยอีก 0.5% ในการประชุมที่เหลืออีกสองครั้งของปีนี้ คือในเดือน พ.ย. และ ธ.ค. รวมถึงอาจมีการลดดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีหน้า และ 2 ครั้งในปีต่อไป
แถลงการณ์ของเฟดระบุว่า "ทางระบบธนาคารกลางสหรัฐฯ มีความมั่นใจยิ่งขึ้นว่าเงินเฟ้อกำลังขยับเข้าใกล้ระดับ 2% แล้ว"
ในทางทฤษฎี การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะมีผลให้ต้นทุนการกู้ยืมเงินของคนอเมริกันลดต่ำลง ทั้งเงินกู้ซื้อบ้าน รถยนต์ และบัตรเครดิต ซึ่งจะช่วยให้คนอเมริกันมีเงินจับจ่ายซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นและช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจได้
อย่างไรก็ตาม แม้เฟดมั่นใจว่าสามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้สำเร็จแล้ว แต่ชาวอเมริกันจำนวนมากยังคงไม่พอใจกับราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ค่าเช่าบ้าน และต้นทุนค่าเชื้อเพลิงที่ยังคงแพงอยู่
อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวโจมตีรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน และรองปธน.คามาลา แฮร์ริส ว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ราคาสินค้าต่าง ๆ สูงขึ้นมาก ขณะที่แฮร์ริสกล่าวตอบโต้กลับว่า นโยบายของทรัมป์ที่จะเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าทุกประเภทนั้นจะยิ่งทำให้ต้นทุนของผู้บริโภคยิ่งสูงขึ้น
การประชุมครั้งต่อไปของเฟดจะมีขึ้นในวันที่ 6-7 พ.ย. หนึ่งวันหลังจากวันเลือกตั้งปธน. ซึ่งการที่เฟดตัดสินใจลดดอกเบี้ยครั้งใหญ่ก่อนการเลือกตั้งเพียงไม่กี่สัปดาห์ อาจกลายเป็นประเด็นให้ทรัมป์โจมตีได้เช่นกันว่า เฟดกำลังใช้นโยบายการเงินแทกแซงการเลือกตั้งสหรัฐฯ
- ที่มา: เอพี
