เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ประเมินว่า รัสเซียอาจมีอัตราการพลาดเป้าสูงถึง 60% ในการใช้ขีปนาวุธนำวิถีโจมตีใส่ยูเครนในบางวัน ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์
ในสัปดาห์นี้ เจ้าหน้าที่กลาโหมสหรัฐฯ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ได้มีการประเมินจากทางเพนตากอนว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธทุกประเภทใส่ยูเครนแล้วมากกว่า 1,100 ลูกนับตั้งแต่เริ่มสงครามเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ แต่มิได้มีการระบุชัดเจนว่า มีขีปนาวุธกี่ลูกที่โจมตีได้ตามเป้าหมายและกี่ลูกที่ล้มเหลว
แต่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ สามคน อ้างอิงข้อมูลจากข่าวกรองว่า ทางการสหรัฐฯ ประเมินว่าอัตราความล้มเหลวของการยิงขีปนาวุธของรัสเซียนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละวัน ขึ้นอยู่กับประเภทของขีปนาวุธที่ใช้ ซึ่งบางวันอาจสูงถึง 50-60%
ความผิดพลาดในระดับสูงดังกล่าวครอบคลุมตั้งแต่ความผิดพลาดในการยิง ไปจนถึงการไม่ระเบิดเมื่อตกใส่เป้าหมาย ซึ่งตัวเลขดังกล่าวอาจช่วยอธิบายได้ว่า ทำไมรัสเซียจึงไม่ประสบความสำเร็จในการยึดครองยูเครนนับตั้งแต่เริ่มการโจมตีเมื่อหนึ่งเดือนก่อน แม้ว่ายูเครนมีขนาดกองทัพเล็กกว่ามาก
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ สามคนซึ่งไม่ประสงค์ออกนาม มิได้แสดงหลักฐานสนับสนุนการประเมินในครั้งนี้ และมิได้ระบุชัดเจนว่าอะไรคือสาเหตุหลักของความผิดพลาดในการยิงขีปนาวุธของรัสเซีย
ขณะที่กระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ และของรัสเซีย มิได้ตอบรับเมื่อทางรอยเตอร์ติดต่อไปเพื่อขอความเห็นในเรื่องนี้
ทั้งนี้ โครงการวิจัยตรวจสอบด้านขีปนาวุธของ Center for Strategic and International Studies ระบุว่า รัสเซียใช้ขีปนาวุธแบบร่อนสองประเภทในสงครามที่ยูเครน คือ Kh-555 and Kh-101 ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านขีปนาวุธกล่าวกับรอยเตอร์ว่า อัตราความผิดพลาดที่เกินระดับ 20% ถือว่าอยู่ในระดับสูง
ก่อนหน้านี้ รัสเซียยืนยันว่าใช้ขีปนาวุธในการโจมตีเป้าหมายทางการทหาร รวมถึงโกดังเก็บสรรพาวุธต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าขีปนาวุธของรัสเซียได้โจมตีใส่เขตชุมชน โรงเรียนและโรงพยาบาลหลายแห่งในหลายเมืองของยูเครน รวมถึงเมืองคาร์คิฟ และเมืองมาริอูโพล ทำให้มีประชาชนเสียชีวิตจำนวนมาก
เมื่อต้นเดือนนี้ สหรัฐฯ เชื่อว่ารัสเซียได้ยิงขีปนาวุธแบบร่อนจากน่านฟ้าของรัสเซียใส่ค่ายทหารแห่งหนึ่งใกล้ชายแดนโปแลนด์ ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 35 คน ตามรายงานของทางการยูเครน