เมื่อวันพฤหัสบดี นายอันโตนิโอ กูเทอเรซเลขาธิการใหญ่องค์การสหประชาชาติมองสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2022 ว่าโรคระบาดใหญ่นี้จะไม่หายไปไหนและวัคซีนแต่เพียงอย่างเดียวจะไม่สามารถยุติโรคระบาดใหญ่นี้ได้ ทั้งยังเสริมว่าวัคซีนช่วยให้ผู้ที่ได้รับส่วนใหญ่ไม่ต้องเข้าโรงพยาบาลและไม่เสียชีวิตแต่การระบาดก็ยังไม่ลดลง ซึ่งเรื่องนี้ก็มาจากปัญหาความไม่เท่าเทียมด้านวัคซีน ความลังเลใจ และความนิ่งนอนใจนั่นเอง
เมื่อสองเดือนที่แล้ว องค์การอนามัยโลกเริ่มการรณรงค์โดยตั้งเป้าหมายให้มีการฉีดวัคซีนให้กับ 40% ของประชากรโลกภายในสิ้นปีนี้และ 70% ของประชากรโลกภายในกลางปีหน้า แต่จนถึงขณะนี้ยังมี 98 ประเทศซึ่งไม่สามารถทำได้ตามเป้า โดยในจำนวนนี้มี 40 ประเทศที่ไม่สามารถฉีดวัคซีนให้ประชากรของตนได้ถึง 10% ด้วยซ้ำไป และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่มีรายได้น้อยนั้นมีประชากรเพียงไม่ถึง 4% เท่านั้นซึ่งได้รับวัคซีนโควิด-19 แล้ว
ทวีปแอฟริกานับเป็นภูมิภาคที่ล้าหลังที่สุดในเรื่องการฉีดวัคซีนเพราะมีประชากรในทวีปนี้เพียงราว 7% เท่านั้นซึ่งได้รับวัคซีนต้านโควิด-19 แล้ว และในอัตราที่เป็นอยู่ขณะนี้องค์การอนามัยโลกกล่าวว่าทวีปแอฟริกาจะไม่สามารถฉีดวัคซีนให้ประชากรถึงระดับ 70% ได้จนกว่าจะถึงเดือนสิงหาคมปี 2024 หรืออีกกว่าสองปีครึ่งต่อจากนี้ ซึ่งองค์การอนามัยโลกให้ตัวเลขว่าเป้าหมายที่ว่านี้จะต้องใช้วัคซีนเพิ่มอีกกว่า 1,600 ล้านโดส
เลขาธิการใหญ่องค์การสหประชาชาติกล่าวด้วยว่าเราไม่สามารถเอาชนะโรคระบาดใหญ่นี้ได้ด้วยการทำงานอย่างไม่ประสานสอดคล้องกันและว่าการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนได้แสดงให้เห็นว่ากลยุทธ์ของประเทศที่ร่ำรวยบางประเทศเพื่อกักตุนวัคซีนหรือใช้วัคซีนในสิ่งที่เรียกกันว่า”การทูตวัคซีน”นั้นประสบความล้มเหลว
เลขาธิการใหญ่องค์การสหประชาชาติได้เคยเตือนมาระยะหนึ่งแล้วเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจและความไม่เท่าเทียมทางสังคมที่ขยายตัวกว้างขึ้นจากโรคโควิด-19 นี้ และว่าการฟื้นตัวจากโควิด-19 อย่างไม่สม่ำเสมอและไม่ทั่วถึงได้เพิ่มแรงกดดันต่อประชาชนและระบบเศรษฐกิจต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งเรื่องนี้ก็เปรียบเสมือนดินระเบิดสำหรับปัญหาการไร้เสถียรภาพและความไม่สงบทางสังคมที่เป็นอันตรายอย่างเห็นได้ชัดในขณะนี้ต่อสถาบันประชาธิปไตยต่างๆของโลกด้วย
ที่มา: VOA