ผลการศึกษาชิ้นใหม่จากอังกฤษระบุว่า วัคซีนจากบริษัทไฟเซอร์ (Pfizer) และบริษัทแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) มีประสิทธิผลลดลงหลังฉีดวัคซีนดังกล่าวไปแล้วหกเดือน
ผลการศึกษาชิ้นนี้ระบุว่า ประสิทธิผลของวัคซีนไฟเซอร์สองโดสลดลงจาก 88 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงเดือนแรกหลังได้รับวัคซีนโดสที่สอง เหลือ 74 เปอร์เซ็นต์หลังผ่านไป 5-6 เดือน ในขณะที่ประสิทธิผลของวัคซีนแอสตราเซเนกาลดลงจาก 77 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงเดือนแรกหลังได้รับวัคซีนโดสที่สอง เหลือ 67 เปอร์เซ็นต์หลังผ่านไป 5-6 เดือน
ผลการศึกษาอีกฉบับจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ หรือ ซีดีซี ระบุว่า ประสิทธิผลของวัคซีนไฟเซอร์และวัคซีนจากบริษัทโมเดอร์นา (Moderna) ที่ใช้เทคโนโลยี mRNA ทั้งคู่ มีประสิทธิผลต่อเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์เดลตาลดลงจาก 91 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 66 เปอร์เซ็นต์
เมื่อวันอังคาร ซีดีซียังเผยแพร่ผลการศึกษาอีกฉบับที่ระบุว่า ผู้ที่ไม่ได้ฉีดวีคซีนมีโอกาสต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยโรคโควิด-19 มากกว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนครบแล้วถึง 29 เท่า โดยผลการศึกษาฉบับนี้อ้างอิงจากผลสำรวจผู้ป่วยในนครลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคมถึงวันที่ 25 กรกฎาคม
ญี่ปุ่นเตรียมขยายสถานการณ์ฉุกเฉิน
ทางการญี่ปุ่นเตรียมขยายสถานการณ์ฉุกเฉินต่อไปจนถึงวันพุธ ท่ามกลางสถานการณ์ยอดผู้ติดเชื้อที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยรัฐบาลญี่ปุ่นจะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพิ่มเติมในอีกแปดจังหวัด รวมถึงจังหวัดไอจิ จังหวัดฮิโรชิมา และจังหวัดฮอกไกโด ทำให้มีจังหวัดที่อยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินเพิ่มขึ้นจาก 13 จังหวัดเป็น 21 จังหวัด ในขณะที่โรงพยาบาลในกรุงโตเกียวและทั่วประเทศก็รับผู้ป่วยจนเต็ม ทำให้ผู้ติดเชื้อหลายพันคนต้องรักษาตัวที่บ้านแทน
ทั้งนี้ ญี่ปุ่นประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินในกรุงโตเกียวและจังหวัดอื่น ๆ บางส่วน เป็นเวลาหลายสัปดาห์ก่อนเริ่มการแข่งขันโอลิมปิกต่อเนื่องมาจนถึงการแข่งขันพาราลิมปิก ในขณะที่ผู้เข้าแข่งขันพาราลิมปิกอีกสองคนถูกตรวจพบเชื้อโคโรนาไวรัส ทำให้มีบุคลากรในหมู่บ้านนักกีฬาพาราลิมปิกติดเชื้อแล้วทั้งสิ้นอย่างน้อยเก้าคน รวมถึงนักกีฬาสามคน
ในขณะเดียวกัน เมื่อวันพุธ รัฐนิวเซาธ์เวลส์ของออสเตรเลียรายงานว่า มีผู้ติดเชื้อโคโรนาไวรัสเพิ่มขึ้น 919 คน ซึ่งเป็นยอดผู้ติดเชื้อใหม่ในหนึ่งวันที่สูงที่สุดนับตั้งแต่มีการพบเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลต้าในนครซิดนีย์เมื่อช่วงกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
(ข้อมูลบางส่วนจากสำนักข่าว The Associated Press, สำนักข่าว Reuters และสำนักข่าว Agence France-Presse)