ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในบันทึกคำสั่งห้ามไม่ให้นับผู้อพยพเข้าสหรัฐฯ โดยผิดกฎหมาย ในการสำรวจสำมะโนประชากรเพื่อคำนวณหาจำนวนผู้แทนสภาผู้แทนราษฎรของแต่ละเขตสำหรับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป เป็นเวลา 10 ปี
ผู้เชี่ยวชาญและทนายความด้านสำมะโนประชากรในสหรัฐฯ แสดงความสงสัยเกี่ยวกับคำสั่งล่าสุดของปธน.ทรัมป์ ที่ออกมาในวันอังคารตามเวลาท้องถิ่น และให้ความเห็นว่า ในทางทฤษฎีนั้น คำสั่งนี้น่าจะส่งผลดีต่อคะแนนเสียงของผู้นำสหรัฐฯ และพรรครีพับลิกัน ด้วยการกำจัดประชากรผู้อพยพที่ไม่ใช่คนผิวขาวออกไป และทำให้ข้อมูลสำมะโนประชากรที่มีการสำรวจอยู่นี้มีแต่คนผิวขาวเป็นส่วนใหญ่ แต่ว่า ในทางปฏิบัติแล้ว เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้โดยง่ายเลย
รายงานข่าวระบุว่า หากหน่วยงานที่รับผิดชอบสามารถปฏิบัติตามคำสั่งของปธน.ทรัมป์ ได้สำเร็จ รัฐที่มีประชากรหนาแน่นหลายรัฐและมีกลุ่มผู้อพยพอยู่สูง เช่น รัฐแคลิฟอร์เนีย และรัฐนิวยอร์ก ที่นิยมพรรคเดโมแครต อาจได้รับสัดส่วนจำนวนผู้แทนสภาผู้แทนราษฎรที่ลดลงจากระดับปัจจุบันที่ 53 และ 27 เป็นต้น
ทั้งนี้ ระบบการคำนวณตัวเลขผู้แทนสภาล่างจากแต่ละรัฐของสหรัฐฯ นั้น จะคิดจากจำนวนประชากรในแต่ละรัฐ โดยไม่สนใจสถานะการเข้าเมืองว่าถูกหรือผิดกฎหมาย เพื่อคำนวณหาจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของตนจากทั้งหมดที่ 435 คน
แนนซี่ เปโลซี่ ประธานสภาล่างสหรัฐฯ และสมาชิกพรรคเดโมแครต ระบุในแถลงการณ์ว่า มาตรการที่ออกมาใหม่นี้ “ผิดกฎหมาย” และ “ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความกลัวและความไม่เชื่อใจในชุมชนที่มีความเปราะบางและไม่ได้ถูกนับรวมในการคำนวณอยู่แล้ว ทั้งยังทำให้เกิดความวุ่นวายในกระบวนการสำรวจสำมะโนประชากรด้วย”
ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า การนับจำนวนประชากรเพื่อคำนวณหาตัวเลขผู้แทนสภาฯ นั้นจะต้องดูที่ “ตัวเลขจำนวนคนโดยรวม” ในแต่ละเขต และจุดนี้ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญมองว่า การดำเนินมาตรการล่าสุดของผู้นำสหรัฐฯ เป็นเรื่องที่ทำให้สำเร็จได้ยาก