เมื่อรองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส และอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หยิบยกประเด็นร้อนแรงต่าง ๆ ขึ้นมาพูดในการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ หากมีการแตะเรื่องนโยบายสหรัฐฯ และจีนขึ้นมา ทั้งสองต่างพยายามโยงให้เกี่ยวกับความกังวลของคนในประเทศเสมอ ตามความเห็นของนักวิเคราะห์
หลิว ยาเหวย ผู้อำนวยการโครงการจีนของ Carter Center กล่าวว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวอเมริกันมีความกังวลเกี่ยวกับประเด็นภายในประเทศมากกว่า การสำรวจความคิดเห็นแสดงให้ทราบว่า เรื่องที่บอกว่าเป็น ภัยคุกคามจากจีน คือประเด็นที่มีความสำคัญรองจากเรื่องเศรษฐกิจ การตรวจคนเข้าเมือง สิทธิการทำแท้ง สภาพภูมิอากาศและประชาธิปไตย รวมทั้งเรื่องอื่น ๆ
การสำรวจที่องค์กร YouGov ในสหรัฐฯ เผยแพร่ออกมาชี้ว่า มีเพียงส่วนน้อยของผู้มีสิทธิที่มองว่า นโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ เป็น 1 ใน 3 ประเด็นสำคัญสำหรับตน และพบด้วยว่า ผู้สนับสนุนทรัมป์สนใจเรื่องนโยบายต่างประเทศมากกว่าผู้สนับสนุนแฮร์ริสเล็กน้อย
นโยบายภายในประเทศและนโยบายจีน
หากผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปีนี้จะต้องพูดเกี่ยวกับจีนในการหาเสียง สิ่งที่นำเสนอออกมามักเป็นมุมมองจากคนในในประเทศมากกว่า
อย่างเช่น ในการหาเสียงที่นครนิวยอร์กเมื่อ 27 ตุลาคมที่ผ่านมา ทรัมป์พูดถึงจีน 2 ครั้ง โดยกล่าวว่า ถ้าหากสหรัฐฯ และจีนจะต้องทำสงครามกัน สหรัฐฯ จะ “เอาชนะพวกเขาได้” และว่า ตนจะ “ผ่านกฎหมาย Trump Reciprocal Trade Act ซึ่งหมายความว่า ถ้าจีนหรือประเทศอื่น ๆ ที่เก็บภาษีนำเข้า 100 หรือ 200% เรา [สหรัฐฯ] จะเก็บภาษีนำเข้า 100 หรือ 200% จากพวกเขาด้วย”
ทรัมป์พูดเน้นเรื่องของผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นจากการแข่งขันกับจีน ในแง่ของการว่าจ้างงานในสหรัฐฯ ความกังวลเกี่ยวกับภาวะการค้า การทะลักเข้ามาของสินค้าจีนและการดำเนินธุรกิจที่ไม่เป็นธรรม
ในระหว่างร่วมประชุมใหญ่พรรครีพับลิกัน (Republican National Convention – RNC) เมื่อเดือนกรกฎาคม ทรัมป์ประณามจีนในหลายเรื่อง เช่น การกล่าวหาจีนว่าแย่งงานไปจากอุตสาหกรรมรถสหรัฐฯ และการที่จีนเป็นภัยคุกคามต่อไต้หวัน
และย้อนไปเมื่อเดือนเมษายน อดีตปธน.สหรัฐฯ ผู้นี้กล่าวว่า ผู้อพยพเข้าสหรัฐฯ จากจีนเป็น ชายที่อยู่ในวัย “ประจำการกองทัพ” หรือ “สู้รบ” ที่อาจเดินทางเข้าประเทศมาเพื่อจัดตั้ง “กองทัพ”
ทรัมป์ยังพูดถึงจีนในประเด็นที่เกี่ยวกับวิกฤตเฟนทานิลในสหรัฐฯ ด้วย
แฮร์ริสนั้นไม่ได้พูดถึงจีนระหว่างการหาเสียงในวันที่ 27 ตุลาคม ในพื้นที่รัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งเป็นหนึ่งในรัฐสมรภูมิสำคัญ และไม่ได้พูดเกี่ยวกับจีนบ่อยนักตลอดการหาเสียงที่ผ่านมา
แต่ที่การประชุมใหญ่พรรคเดโมแครต (Democratic National Convention – DNC) ในเดือนสิงหาคม แฮร์ริสกล่าวว่า เธอจะทำการต่าง ๆ ให้มั่นใจว่า สหรัฐฯ เป็นผู้ชนะในการแข่งขันเพื่อเป็นผู้นำโลกในด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และกิจการด้านอวกาศ
นอกจากนั้น ตัวแทนพรรคเดโมแครตยังจะ “ทุ่มเท ‘ลดความเสี่ยง’ ที่มุ่งเน้นการลดการพึ่งพากันระหว่างสหรัฐฯ และจีนในเรื่องเทคโนโลยีล้ำสมัย โดยหลัก ๆ นั้นต้องการทำให้กรุงวอชิงตันไม่ได้กลายมาเป็นผู้ให้การช่วยเหลือกรุงปักกิ่งในการปรับปรุงความสามารถทางการทหารให้ทันสมัย แต่ก็เตือนให้ระวังการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจที่เน้นเรื่องการใช้อัตราภาษีนำเข้ากับจีน ตามความเห็นของ อาลี วีน นักวิจัยอาวุโสจาก International Crisis Group
อย่างไรก็ตาม เดนนิส ไวลเดอร์ อดีตรองผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองกลางของสหรัฐฯ (CIA) และอดีตผู้อำนวยการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ด้านจีน ภายใต้อดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช กล่าวว่า คู่ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีทั้งสองและสมาชิกของทั้งเดโมแครตและรีพับลิกันต่างพูดถึงเรื่องจีนที่คล้ายกันมากกว่าที่คิด
ไวลเดอร์กล่าวว่า “จีนไม่ได้ถูกนำขึ้นมาเป็นหัวข้อในการโต้อภิปราย(ดีเบต)ในการเลือกตั้งครั้งนี้ เพราะทั้งสาธารณชนชาวอเมริกันและชนชั้นการเมืองของประเทศต่างมีภาพจำติดลบเกี่ยวกับจีนเหมือนกัน และการสำรวจความเห็นสรุปว่า ตัวเลขคนในสหรัฐฯ ที่มองจีนในแง่ดีนั้นเป็นเพียงตัวเลขหน่วยเดียว”
นักวิเคราะห์กล่าวด้วยว่า ขณะที่ นโยบายของกรุงวอชิงตันเกี่ยวกับจีนสามารถส่งผลกระทบต่อประเด็นต่าง ๆ ภายในประเทศ เช่น ตำแหน่งงานและต้นทุนสินค้า ความขัดแย้งในส่วนอื่น ๆ ของโลกกลบความสนใจเรื่องนโยบายสหรัฐฯ ต่อจีนในสายตาผู้มีสิทธิเลือกตั้งอเมริกันไปแล้ว
อาลี วีน นักวิจัยอาวุโสจาก International Crisis Group กล่าวเสริมว่า “การแข่งขันเชิงกลยุทธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญในลำดับต้น ๆ ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งอเมริกันที่กังวลมากกว่าเกี่ยวกับสถานภาพของเศรษฐกิจและต้นทุนด้านการดูแลสุขภาพ” และว่า ชาวอเมริกันใส่ใจเรื่องสงครามรัสเซียและยูเครน และโอกาสของการขยายตัวของสงครามในตะวันออกกลางเป็นหลักอยู่ในเวลานี้
- ที่มา: วีโอเอ
กระดานความเห็น