ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศรายชื่อเพิ่มเติมของผู้ที่จะเข้ามาทำหน้าที่ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจในรัฐบาลชุดใหม่ โดยหนึ่งในนั้นเป็นสมาชิกรัฐบาลทรัมป์สมัยแรก
ว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐฯ ประกาศเสนอชื่อ เจมีสัน เกรียร์ นักกฎหมายด้านการค้าระหว่างประเทศซึ่งเคยทำหน้าที่หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบขาวด้านผู้แทนการค้าให้กับทรัมป์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ในรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ารับหน้าที่หลังวันที่ 20 มกราคมปีหน้า
ทรัมป์กล่าวเมื่อวันอังคารว่า เกรียร์มีบทบาทสำคัญในการดำเนินการเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนและการจัดตั้งข้อตกลงการค้าใหม่ระหว่างสหรัฐฯ กับแคนาดาและเม็กซิโกในรัฐบาลชุดก่อนหน้า
นอกจากนั้น ทรัมป์ยังเปิดเผยว่า ได้เลือก เควิน ฮัสเซตต์ มาทำหน้าที่ดูแลสภาเศรษฐกิจแห่งชาติประจำทำเนียบขาว หลังเคยดูแลสภาที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจในรัฐบาลสมัยที่ 1 ของตนมาแล้ว โดยในบทบาทใหม่นี้ ฮัสเซตต์จะทำงานด้าน “ยกเครื่องและปรับปรุง” มาตรการปรับลดภาษีที่เริ่มดำเนินการไว้ในปี 2017 และ “จะมีบทบาทสำคัญในการช่วยครอบครัวชาวอเมริกันให้ฟื้นตัวจากภาวะเงินเฟ้อที่ได้รับการปลดปล่อยออกมาโดยรัฐบาลไบเดน”
และว่าที่ปธน.สหรัฐฯ คนใหม่ยังประกาศเลือก นายแพทย์เจย์ ปัตตะชาเรีย นักเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขที่เคยออกมาวิพากษ์วิจารณ์รุนแรงต่อนโยบายล็อกดาวน์และการฉีดวัคซีนในช่วงเกิดการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ให้มาดูแลสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ (National Institutes of Health)
ทรัมป์กล่าวว่า นายแพทย์ปัตตะชาเรียจะทำงานร่วมกับโรเบิร์ต เอฟ เคนเนดี จูเนียร์ ที่ตนเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและบริการประชาชนสหรัฐฯ “ในการกำกับงานวิจัยด้านการแพทย์ของประเทศ และทำการค้นพบใหม่ ๆ ที่จะช่วยพัฒนางานด้านสุขภาพและช่วยชีวิตผู้คน”
ทรัมป์ยังได้เสนอชื่อ จิม โอนีลล์ ซึ่งเคยเป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขและบริการประชาชนสหรัฐฯ ให้มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยฯ ของกระทรวงนี้ด้วย
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ทีมเตรียมการโอนถ่ายงานของทรัมป์ประกาศว่า ได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจกับรัฐบาลไบเดนในเรื่องกระบวนการเริ่มต้นการทำงานกับหน่วยงานรัฐบาลกลางต่าง ๆ แล้ว
ซูซี ไวลส์ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ประจำของทรัมป์ระบุในแถลงการณ์ว่า “การทำงานร่วมกันนี้เปิดทางให้ผู้ได้รับการเสนอชื่อร่วมคณะรัฐมนตรีของเราเริ่มต้นการเตรียมการที่สำคัญ ซึ่งรวมถึงการส่งทีมเตรียมงานต่าง ๆ ไปยังทุกกระทรวงและหน่วยงาน และดำเนินการโอนถ่ายอำนาจให้เรียบร้อยเสร็จสมบูรณ์”
ไวลส์ยังบอกด้วยว่า การดำเนินการเตรียมงานทั้งหมดนี้จะใช้เงินทุนที่ได้รับการบริจาคมาจากภาคเอกชนซึ่งจะมีการเปิดเผยข้อมูลทุกอย่างต่อสาธารณะ และจะไม่ใช้เทคโนโลยีหรือสำนักงานใด ๆ ของรัฐบาล พร้อมยืนยันว่า ทางทีมงานมีแผนงานด้านจริยธรรมในมืออยู่แล้ว และมี “ระบบป้องกันข้อมูลและความมั่นคงในตัว (built-in) ซึ่งหมายความว่า เราจะไม่ต้องการการควบคุมกำกับดูแลตามระบบราชการและของรัฐบาลเพิ่มเติม”
- ข้อมูลบางส่วนมาจากเอพี เอเอฟพีและรอยเตอร์
กระดานความเห็น