ผลสำรวจคะแนนนิยมทั่วประเทศในช่วงที่ผ่านมา ต่างชี้ให้เห็นว่า อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน ตัวแทนพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งนี้ มีคะแนนเหนือกว่าคู่แข่งจากพรรครีพับลิกัน คือ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อยู่ประมาณ 6-7 จุด
อย่างไรก็ตาม ต่อคำถามที่ว่า ผู้สมัครคนไหนที่จะสามารถรับมือกับปัญหาทางเศรษฐกิจในปัจจุบันได้ดีที่สุด ดูเหมือนประธานาธิบดีทรัมป์ยังคงได้เปรียบนายไบเดนอยู่ในเรื่องนี้
ผลสำรวจของ CNN เมื่อกลางเดือนที่แล้ว ระบุว่า 53% ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเชื่อว่าประธานาธิบดีทรัมป์คือผู้สมัครที่ดีกว่าเมื่อมองในด้านเศรษฐกิจ เทียบกับ 45% ที่เชื่อว่านายไบเดนสามารถบริหารเศรษฐกิจได้ดีกว่า
และเมื่อต้นเดือนกันยายนนี้ ผลสำรวจจาก CNN ชี้อีกครั้งว่า ประธานาธิบดีทรัมป์เหนือกว่าเพียงเล็กน้อย คือ 49% - 48% ขณะที่ผลสำรวจของ CBS News และมหาวิทยาลัย Quinnipiac ต่างชี้ว่าผู้สมัครทั้งสองคนได้รับความเชื่อมั่นพอ ๆ กันในด้านเศรษฐกิจ
ที่ผ่านมา ปธน.ทรัมป์ อาศัยยุทธศาสตร์การหาเสียงที่เน้นผลงานเศรษฐกิจที่ผ่านมาของตนเองในช่วงก่อนการระบาดของโคโรนาไวรัส พร้อมเตือนว่าไม่มีใครที่จะสามารถรับมือกับปัญหาเศรษฐกิจในขณะนี้ได้ดีกว่าตน ขณะเดียวกันก็โจมตีนายไบเดนว่ามีแนวคิดเอียงซ้าย และต้องการนำระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมมาใช้ซึ่งจะสร้างความหายนะให้กับเศรษฐกิจอเมริกัน
แต่ทางนายไบเดนเองก็กล่าวโจมตีการบริหารเศรษฐกิจของประธานาธิบดีทรัมป์ในช่วงการระบาดของโควิด-19 โดยระบุไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า หากผู้นำสหรัฐฯ ทำงานได้ดีกว่านี้ เศรษฐกิจก็คงไม่แย่ขนาดนี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณานโยบายเศรษฐกิจของผู้สมัครทั้งสองคนจะเห็นว่ามีความแตกต่างกันตามนโยบายหลักของทั้งสองพรรค กล่าวคือ ในขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์เสนอให้มีการลดภาษีมากขึ้นและลดกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่รัฐบาลนำมาใช้ ทางด้านนายไบเดนได้เสนอให้มีการขึ้นภาษีสำหรับคนรายได้สูงและภาคธุรกิจ รวมทั้งเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐในส่วนของสวัสดิการสังคมและโครงการสร้างสาธารณูปโภคต่าง ๆ
แต่ในส่วนที่คล้ายกันคือ ผู้สมัครทั้งสองคนต่างเสนอให้มีมาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจเพื่อให้มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ มากกว่าการย้ายแหล่งการผลิตไปต่างประเทศเพื่อจ้างงานต่างชาติที่มีค่าจ้างถูกกว่า เป็นต้น