ผลสำรวจจากรอยเตอร์และบริษัทวิจัยการตลาด Ipsos ที่แผยแพร่ในวันพุธ ระบุว่า โจ ไบเดน ตัวแทนชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครต กำลังมีคะแนนนำโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบันจากพรรครีพับลิกันอยู่ 9 เปอร์เซ็นต์ ในการสำรวจความคิดเห็นชาวอเมริกันผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั่วประเทศ
ผลโพลล์แสดงให้เห็นว่า แนวทางการบังคับใช้กฎหมายและกฎระเบียบอันเข้มข้นของทรัมป์อาจไม่ได้ถูกใจกลุ่มผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเป้าหมายที่อาศัยแถบชานเมือง ผลสำรวจความเห็นนี้จัดทำช่วงวันที่ 11 –15 กันยายน ระบุว่า ผู้ที่คาดว่าจะไปเลือกตั้ง 50 เปอร์เซ็นต์กล่าวว่าจะไปลงคะแนนให้ไบเดน ในขณะที่อีก 41 เปอร์เซ็นต์จะลงคะแนนให้ทรัมป์ อีก 3 เปอร์เซ็นต์จะลงคะแนนให้ผู้สมัครจากพรรคทางเลือก ส่วนผู้ถูกสำรวจที่เหลือยังไม่ตัดสินใจ
ผลสำรวจยังแสดงให้เห็นด้วยว่า ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งชาวอเมริกันมั่นใจแน่วแน่แล้วว่าจะลงคะแนนเสียงให้ใคร โดยเก้าในสิบของผู้ที่จะลงคะแนนเสียงให้ไบเดน และแปดในสิบของผู้ที่จะลงคะแนนเสียงให้ทรัมป ระบุว่าพวกเขาจะเลือกตัวแทนคนดังกล่าวแน่นอน และมีเพียงหนึ่งในสิบของผู้ที่จะลงคะแนนเสียงให้ไบเดน และไม่ถึงสองในสิบของผู้จะลงคะแนนเสียงให้ทรัมป์เท่านั้นที่ระบุว่า พวกเขาอาจเปลี่ยนใจภายหลัง
แม้ผลสำรวจจะบ่งชี้ว่า ไบเดนยังคงได้เปรียบในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 3 พฤศจิกายน แต่ผู้ที่คาดว่าจะไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งเก้าเปอร์เซ็นต์ยังคงไม่ตัดสินใจว่าจะเลือกใคร ซึ่งพวกเขาอาจเป็นกลุ่มชี้ชะตาผลการเลือกตั้งได้
ทั้งนี้ แม้ผู้ลงชิงตำแหน่งจะได้รับคะแนนเสียงมากกว่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะชนะเลือกตั้งเสมอไป เนื่องจากระบบการเลือกตั้งของสหรัฐฯ จะใช้ “คณะผู้เลือกตั้ง” หรือ Electoral College เป็นตัวแทนเลือกประธานาธิบดี ซึ่งแต่ละรัฐจะมีจำนวนคณะผู้เลือกตั้งไม่เท่ากันเพราะขึ้นกับจำนวนประชากรของรัฐนั้น ตัวอย่างเช่น ประธานาธิบดีทรัมป์ชนะเลือกตั้งเมื่อสี่ปีที่แล้ว แม้ว่าจะไม่ได้คะแนนเสียงจากประชาชนมากที่สุดก็ตาม
ประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งมีคะแนนตามหลังนายไบเดนในผลการสำรวจความเห็นระดับประเทศ พยายามปรับแผนการหาเสียงเกี่ยวกับประเด็นการต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติที่แผ่ขยายไปทั่วประเทศ นับตั้งแต่การเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน ในระหว่างที่เขาถูกตำรวจจับกุมเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
ผู้นำสหรัฐฯ พยายามวางตนเป็น “ผู้พิทักษ์ความฝันของคนอเมริกันแถบชานเมือง” โดยเขากล่าวว่า ชาวอเมริกันที่อาศัยบริเวณชานเมืองต้องการความปลอดภัยและความมั่นคงมากกว่าสิ่งอื่นใด อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจของรอยเตอร์และ Ipsos กลับระบุว่า มีคนผิวขาวที่อาศัยบริเวณชานเมืองเพียง 11 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ให้ความสำคัญกับนโยบายปราบปรามอาชญากรรมและความไม่สงบของผู้ชิงตำแหน่งเป็นลำดับแรก ซึ่งลดลงจากจำนวน 13 เปอร์เซ็นต์ของผลการสำรวจช่วงวันที่ 9-10 กันยายน และ 15 เปอร์เซ็นต์ของผลการสำรวจช่วงวันที่ 3-8 กันยายน
ชาวอเมริกันผิวขาวที่อาศัยอยู่นอกเมืองมีความกังวลต่อการระบาดของไวรัสโควิด-19 เช่นเดียวกับชาวอเมริกันกลุ่มอื่น ๆ
ต่อคำถามที่ว่า ปัจจัยใดสำคัญที่สุดต่อการตัดสินใจลงคะแนนเสียงของพวกเขา ชาวอเมริกันผิวขาวในแถบชานเมือง 27 เปอร์เซ็นต์ ระบุว่า อยากเห็นผู้ชิงตำแหน่งที่มีแผนรับมือไวรัสเป็นอย่างดี ขณะที่ 25 เปอร์เซ็นต์ระบุว่า อยากได้ผู้นำที่เรียกความเชื่อมั่นให้กับรัฐบาลอเมริกันได้อีกครั้ง และอีก 19 เปอร์เซ็นต์ระบุว่า ต้องการผู้นำที่มีจุดแข็งด้านเศรษฐกิจและการจ้างงาน
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังวางแผนลงทุน 10 ล้านดอลลาร์เพื่อโฆษณานโยบายเศรษฐกิจที่เขาได้รับความนิยมสูงมาโดยตลอด โดยผลการสำรวจครั้งนี้ระบุว่า ผู้ใหญ่ชาวอเมริกัน 45 เปอร์เซ็นต์ เห็นว่าทรัมป์เป็นตัวเลือกที่ดีกว่าต่อการฟื้นเศรษฐกิจ เมื่อเทียบกับอีก 36 เปอร์เซ็นต์ที่เห็นว่าไบเดนเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
ผลการสำรวจของรอยเตอร์และ Ipsos จัดทำทางออนไลน์เป็นภาษาอังกฤษ โดยรวบรวมความเห็นจากผู้ใหญ่ชาวอเมริกัน 1,358 คน รวมทั้งผู้ที่คาดว่าจะไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง 859 คน สามารถดูผลการสำรวจฉบับเต็มได้ที่ tmsnrt.rs/33Diy02