ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ยอมรับว่า ความสัมพันธ์ระหว่างตนกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีนย่ำแย่ลงหลังเกิดการระบาดใหญ่ทั่วโลกของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ทำให้ไม่ได้มีการพูดจากันเป็นเวลานานแล้ว
สำนักข่าว รอยเตอร์ส รายงานว่า ปธน.ทรัมป์ กล่าวระหว่างการให้สัมภาษณ์กับสถานีวิทยุ ฟ็อกซ์ สปอร์ตส เรดิโอ ในวันอังคารตามเวลาในสหรัฐฯ ว่า ตนและปธน.สี เคยมีความสัมพันธ์ที่ดีกันมาก่อน ในช่วงที่รัฐบาลทั้งสองประเทศเจรจาเดินหน้าข้อตกลงการค้าเฟส 1 เมื่อปีที่แล้ว ก่อนจะมีการลงนามอย่างเป็นทางการเมื่อต้นปีที่ผ่านมา พร้อมย้ำว่า ตนมีความชื่นชอบในตัวผู้นำจีน แต่ในเวลานี้ ความรู้สึกกลับไม่เหมือนเก่าแล้ว เพราะทุกอย่างเปลี่ยนไปนับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19
ในช่วงการก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อปี ค.ศ. 2016 ปธน.ทรัมป์ ชูเรื่องท้าทายอิทธิพลจีนเป็นหนึ่งในนโยบายหาเสียง ก่อนจะพูดถึงความใกล้ชิดฉันท์มิตรระหว่างตนกับปธน.จีนตลอดช่วงกว่า 3 ปีที่ดำรงตำแหน่งมา ขณะที่พยายามเดินหน้าข้อตกลงการค้าที่เป็นผลดีต่อสหรัฐฯ ดังที่สัญญากับประชาชนไว้
ในการให้สัมภาษณ์ครั้งล่าสุดนี้ ปธน.ทรัมป์ กล่าวว่า การแตกหักของผู้นำทั้งสองนั้นมีสาเหตุมาจากเรื่องภาวะวิกฤติโควิด-19 ที่ส่งผลเสียหายรุนแรงกว่าประเด็นความขัดแย้งเรื่องการค้ามาก
ผู้นำสหรัฐฯ ระบุว่า ปัญหาการระบาดของโควิด-19 รุนแรงจนส่งผลให้เกิดการล้มตายของผู้คน และโลกทั้งโลกต้องหยุดชะงัก ซึ่งเป็น “เรื่องที่น่าอับอายขายหน้า”
นอกจากนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน มีปัญหาหนักขึ้นจากกรณีการปราบปรามผู้ชุมนุมในฮ่องกง และประเด็นข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ เป็นต้น