รัฐสภาไทยจะจัดการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีเป็นครั้งที่ 3 ในสัปดาห์หน้า ด้านรองประธานสภาฯ ยืนยันในวันพฤหัสบดีว่าในครั้งนี้จะไม่สามารถเสนอชื่อหัวหน้าพรรคก้าวไกลเป็นนายกรัฐมนตรีได้อีกแล้ว หลังจากที่ประชุมสภามีมติปิดกั้นโอกาสการเสนอชื่อครั้งต่อไปของเขาแล้วเมื่อวันพุธ
นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวกับรอยเตอร์เมื่อวันพฤหัสบดีเกี่ยวกับการโหวตนายกฯ ครั้งต่อไปที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า ว่า “แคนดิเดตจะสามารถเสนอชื่อได้เพียง 1 ครั้งในการประชุมสภาแต่ละนัด”
จนถึงขณะนี้สื่อต่างชาติยังคงเกาะติดการเมืองไทยที่ระอุต่อเนื่อง หลังการโหวตนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2 จบลงด้วยมติให้การเสนอชื่อครั้งที่ 2 ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกฯ เพียงคนเดียวของพรรคเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ ขณะที่ ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นายพิธา ยุติการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. ระหว่างศาลพิจารณาคดีในข้อกล่าวหาว่าละเมิดกฎหมายการเลือกตั้ง
มติของรัฐสภาและการเคลื่อนไหวของศาสรธน.เมื่อวันพุธ ถือเป็นจุดเปลี่ยนล่าสุดของการต่อสู้อันยาวนานระหว่างกลุ่มสนับสนุนประชาธิปไตยที่เป็นฝ่ายได้เสียงสนับสนุนถล่มทลายในการเลือกตั้ง กับฝ่ายอนุรักษ์นิยมและกองทัพที่มีอำนาจในมือซึ่งพยายามที่จะหยุดการก้าวขึ้นมามีอำนาจของอีกฝ่าย สะท้อนวิกฤตหลังเลือกตั้งไทยที่รุนแรงขึ้น
บลูมเบิร์กรายงานว่า จนถึงวันพุธ ตลาดหลักทรัพย์ไทยเดินหน้าปรับขึ้นติดต่อกันเป็นเวลานานที่สุดนับตั้งแต่ต้นปีมา โดยมีปัจจัยส่งก็คือ ความหวังที่ว่าแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคเพื่อไทยจะมีโอกาสได้เสียงสนับสนุนเพียงพอในการจัดตั้งรัฐบาลเสียที ก่อนที่จะปรับลงทันทีในวันพฤหัสบดี ส่วนค่าเงินบาทไทยแข็งค่าขึ้น 1.7% ต่อดอลลาร์สหรัฐฯ หลังการประชุมสภานัดที่ 2 ซึ่งเป็นการแข็งค่าขึ้นสูงสุดในรอบกว่า 2 เดือน จากที่นักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่าทางตันในการเลือกเฟ้นนายกฯ ไทยใกล้จะสิ้นสุดลงในเร็ว ๆ นี้
สำหรับการประชุมสภานัดที่ 3 ในสัปดาห์หน้า คาดกันว่า เศรษฐา ทวีสิน นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์วัย 60 ปี แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคเพื่อไทย แกนนำ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล จะได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีในการโหวตนายกฯ ในวันที่ 27 กรกฎาคมนี้ ซึ่งเศรษฐากล่าวกับผู้สื่อข่าวด้วยว่า “หากทั้ง 8 พรรคร่วมมีแนวทางให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ทางพรรคจะต้องเลือกที่จะเสนอชื่อเป็นนายกฯ”
บลูมเบิร์กรายงานว่า นายเศรษฐากล่าวว่า พรรคร่วมพันธมิตรทั้ง 8 ยังคงยึดมั่นกับเอ็มโอยูที่ทำร่วมกันไว้อยู่ แต่การเดินหน้าต่อไปจากนี้ “ขึ้นอยู่กับทีมเจรจา” ขณะที่ รอยเตอร์รายงานว่า แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคเพื่อไทยรายนี้บอกกับผู้สื่อข่าวว่า “หากทั้ง 8 พรรคร่วมมีแนวทางให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ทางพรรคจะต้องเลือกที่จะเสนอชื่อเป็นนายกฯ”
อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า นายเศรษฐาจะสามารถคว้าเสียงสนับสนุนได้เพียงพอหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพรรคเพื่อไทยยังคงร่วมมือกับพรรคก้าวไกลในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งฝ่ายนิติบัญญัติไทยหลายคนมองว่าเป็นพรรคที่มีแผนมุ่งแก้ไขกฎหมายหมิ่นสถาบันกษัตริย์ และปักธงในการปัดตกแคนดิเดตที่มาจากการเสนอชื่อของพรรคร่วมที่มีพรรคก้าวไกลอยู่ในนั้น
ศ.ดร.ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ แห่งคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวกับรอยเตอร์ว่า พรรคก้าวไกลกลายเป็นเหยื่อของสิ่งที่ดูเหมือนว่าเป็น “การจัดฉากตั้งแต่เริ่ม” โดยกล่าวว่า “พรรคก้าวไกลถูกปฏิเสธไม่ให้ได้เสนอชื่อประธานสภาฯ ตอนนี้พวกเขาถูกปฏิเสธการเสนอชื่อนายกฯ และขั้นต่อไปพวกเขาจะต้องออกไป(จากแกนนำจัดตั้งรัฐบาล)และถูกบีบให้ต้องกลายเป็นฝ่ายค้าน”
ทั้งนี้ นักเคลื่อนไหววางแผนชุมนุมและเรียกร้องให้ผู้ประท้วงสวมชุดดำเพื่อประท้วงรัฐธรรมนูญที่จัดทำโดยกองทัพที่ก่อรัฐประหารเมื่อปี 2014 ซึ่งทำให้ยากสำหรับพรรคการเมืองที่ชนะเลือกตั้งในการจัดตั้งรัฐบาล วิลาสินี สระแก้ว วัย 21 ปี ที่ออกมาชุมนุมเมื่อค่ำวันพุธกล่าวกับรอยเตอร์ว่า “ให้เราเลือกตั้งทำไมทั้ง ๆ ที่มีสว.เลือกให้อย่างนี้? 14 ล้านเสียงมันไม่มีความหมายเลยหรอ? เมื่อเทียบกับ 250 เสียงมันคือยังไง?”
ส่วนบลูมเบิร์กรายงานว่า มีการรวมตัวของผู้ที่สนับสนุนพรรคก้าวไกลที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยตั้งแต่ช่วงค่ำวันพุธ โดย อานนท์ นำภา ผู้นำการเคลื่อนไหวนี้เรียกร้องให้ผู้ที่เห็นด้วยจากพื้นที่นอกกรุงเทพให้มารวมตัวกัน โดยตั้งเป้าว่า จะมีผู้ชุมนุมในครั้งนี้ถึง 100,000 คน เพื่อเดินเท้าไปยังทำเนียบรัฐบาลเพื่อประณามการที่สภาไม่ลงมติรับรองการเสนอชื่อของนายพิธาขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
สื่อแห่งนี้ยังรายงานด้วยว่า ความเสี่ยงจากการเลือกนายกฯ ก็คือ การผ่านร่างกฎหมายงบประมาณปีถัดไปที่อาจสะดุดและกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัวดี และหากมีการชุมนุมประท้วงขึ้นมาอีก ธุรกิจท่องเที่ยวที่เป็นจักรกลสำคัญในการเร่งการเติบโตของเศรษฐกิจที่กำลังไปได้ดีก็อาจมีความเสี่ยงที่จะสะดุดได้อีก
- ที่มา: รอยเตอร์และบลูมเบิร์ก