โรงเรียนในสวีเดนหันมาฟื้นฟูการอ่านหนังสือที่ตีพิมพ์เป็นเล่ม ๆ และการให้เด็กกลับมาคัดลายมือ แทนที่จะเป็นการทุ่มเทเวลากับอุปกรณ์การเรียนการสอนที่อุดมไปด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย เพื่อเติมเต็มทักษะที่ขาดหายไปของเด็กยุคใหม่
เด็ก ๆ ทั่วสวีเดนกลับไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนเมื่อเดือนกรกฎาคม ครูหลาย ๆ คนต่างให้ความสำคัญกับหนังสือที่พิมพ์ออกมา การอ่านในใจ และการฝึกคัดลายมือ ตลอดจนการใช้เวลากับแท็บเล็ตให้น้อยลง การค้นคว้าหาข้อมูลออนไลน์แบบอิสระ และทักษะการใช้คีย์บอร์ดอีกด้วย
การนำระบบการเรียนรู้ในรูปแบบดั้งเดิมมาใช้มากขึ้นนั้น ขานรับกับสิ่งที่บรรดานักการเมืองและผู้เชี่ยวชาญตั้งคำถามว่า แนวทางการศึกษาแบบไฮเปอร์ดิจิทัลของประเทศ ซึ่งรวมถึงการเริ่มใช้แท็บเล็ตในโรงเรียนอนุบาล จะทำให้ทักษะพื้นฐานต่าง ๆ ของนักเรียนลดลงหรือไม่
ลอตตา เอ็ดโฮล์ม (Lotta Edholm) รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการของสวีเดน ซึ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อปีก่อน เป็นหนึ่งในผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในเรื่องของการนำเทคโนโลยีมาใช้ในด้านการศึกษา
โดยเธอได้ประกาศในแถลงการณ์เมื่อเดือนกรกฎาคมว่า รัฐบาลต้องการกลับคำตัดสินของสำนักงานเพื่อการศึกษาแห่งชาติสวีเดน (National Agency for Education) ที่ต้องการบังคับใช้อุปกรณ์ดิจิทัลในโรงเรียนเตรียมอนุบาล นอกจากนี้ทางกระทรวงยังมีแผนที่จะเดินหน้ายุติการเรียนรู้ด้วยระบบดิจิทัลในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปีอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่านักเรียนของสวีเดนจะมีคะแนนการอ่านสูงกว่าค่าเฉลี่ยของยุโรป แต่การประเมินระดับการอ่านในระดับนานาชาติของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และความก้าวหน้าในการศึกษาการอ่านระดับนานาชาติ ของนักเรียนสวีเดนกลับมีคะแนนลดลงในระหว่างปี 2016 ถึง 2021
โดยในปี 2021 นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ของสวีเดนมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 544 คะแนน ซึ่งลดลง 555 คะแนนในปี 2016 แต่ถึงกระนั้น คะแนนของพวกเขาก็ยังเสมอกับไต้หวัน ซึ่งมีคะแนนรวมสูงสุดเป็นอันดับ 7
ส่วนที่ประเทศสิงค์โปร์ซึ่งมีคะแนนสูงที่สุด สามารถทำคะแนนการอ่าน PIRLS ได้สูงขึ้นจาก 576 คะแนนเป็น 587 คะแนนในช่วงเวลาเดียวกัน และที่ประเทศอังกฤษ คะแนนเฉลี่ยวิชาการอ่านลดลงเล็กน้อยจาก 559 คะแนนในปี 2016 เป็น 558 คะแนนในปี 2021
ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษากล่าวว่า ผลการเรียนบางวิชาที่แย่ลงนั้น อาจเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส หรือจำนวนนักเรียนที่เป็นผู้อพยพที่ไม่ได้พูดภาษาสวีเดนเป็นภาษาหลักของพวกเขามีจำนวนเพิ่มมากขึ้น แต่การอยู่ที่หน้าจอมากเกินไประหว่างที่เรียนหนังสืออยู่ ก็อาจทำให้เยาวชนเรียนวิชาหลักไม่ทัน
สถาบัน Karolinska ของสวีเดนกล่าวในแถลงการณ์เมื่อเดือนกรกฎาคม เกี่ยวกับกลยุทธ์ด้านการศึกษาผ่านระบบดิจิทัลในระดับประเทศว่า “มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนว่า อุปกรณ์ดิจิทัลเป็นสิ่งที่บั่นทอนการเรียนรู้ของนักเรียนมากกว่าที่จะส่งเสริม”
สถาบัน Karolinska เสริมว่า ทางสถาบันเชื่อว่าระบบการศึกษาควรกลับไปสู่การเรียนรู้ผ่านตำราเรียนที่พิมพ์ออกมาและความชำนาญการของครู แทนที่จะรับความรู้จากแหล่งข้อมูลดิจิทัลที่หาได้อย่างเสรี ซึ่งยังไม่ได้รับการตรวจสอบความถูกต้องแม่นยำ
นอกจากนี้แล้ว การใช้เครื่องมือการเรียนรู้แบบดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วยังสร้างความกังวลแก่หน่วยงานด้านการศึกษาและวัฒนธรรมของสหประชาชาติอีกด้วย
ในรายงานที่เผยแพร่เมื่อเดือนกรกฎาคม UNESCO ได้ออก “ข้อเรียกร้องที่เร่งด่วนสำหรับการใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมในการศึกษา” เรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ เพิ่มความเร็วในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่โรงเรียน แต่ในขณะเดียวกันก็เตือนว่าเทคโนโลยีในด้านการศึกษานั้นควรถูกนำมาใช้ในลักษณะที่จะไม่มาแทนที่การสอนในชั้นเรียน และการสอนโดยครูอาจารย์ และส่งเสริมวัตถุประสงค์ที่มีร่วมกันในเรื่องของการศึกษาที่มีคุณภาพสำหรับนักเรียนทุก ๆ คน
ลิเวียน พาล์มเมอร์ (Liveon Palmer) วัย 9 ขวบ ซึ่งเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ในกรุงสตอกโฮล์ม ของสวีเดน พอใจที่จะใช้เวลาเรียนแบบออฟไลน์มากขึ้น โดยบอกกับเอพีว่า “เขาชอบที่จะเขียนหนังสือบนกระดาษในชั้นเรียนมากกว่า เพราะให้ความรู้สึกที่ดีกว่า”
อย่างไรก็ตาม การสอนหนังสือออนไลน์ยังเป็นหัวข้อที่ถกเถียงกันอย่างถึงพริกถึงขิงทั่วยุโรป อย่างเช่นที่โปแลนด์ที่เพิ่งเปิดตัวโครงการมอบแล็ปท็อปที่ได้รับทุนจากรัฐบาลแก่นักเรียน เริ่มจากนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยหวังว่าจะช่วยให้ประเทศของตนสามารถแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ในด้านเทคโนโลยีได้
สำหรับในสหรัฐฯ การแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัสได้ผลักดันให้โรงเรียนของรัฐจัดหาแล็ปท็อปหลายล้านเครื่องที่ซื้อด้วยเงินบรรเทาทุกข์โควิด-19 ของรัฐบาลกลางให้แก่นักเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา แต่ก็ยังคงมีช่องว่างทางดิจิทัลอยู่ดี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเหตุผลที่ว่าเหตุใดโรงเรียนในสหรัฐฯ จึงใช้การเรียนการสอนโดยใช้หนังสือเรียนทั้งแบบพิมพ์และแบบดิจิทัลควบคู่กันไป
- ที่มา: เอพี
กระดานความเห็น