ปัจจุบัน ชาวอเมริกันนิยมเรียนมหาวิทยาลัยออนไลน์ที่เรียนด้วยตัวเอง เนื่องจากจบการศึกษาได้เร็วเเละประหยัดค่าใช้จ่ายค่าเล่าเรียน
WGU เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนไม่หวังผลกำไรที่สอนหลักสูตรระดับปริญญาตรีเเละปริญญาโท หลักสูตรของมหาวิทยาลัยเเห่งนี้ได้รับการอนุมัติโดยหน่วยงานด้านการศึกษาที่น่าเชื่อถือหลายแห่ง โดยได้รับการรับรองผ่านระบบที่เรียกว่าการเรียนที่ขึ้นอยู่กับความสามารถ หรือ CBE
นักศึกษาในระบบ CBE อย่างที่มหาวิทยาลัย Western Governors เลือกเรียนหลักสูตรกลางเหมือนกับนักศึกษามหาวิทยาลัยดั้งเดิม เพียงเเต่เเทนที่จะเข้าเรียนวิชาต่างๆ ที่สอนโดยอาจารย์หรือผู้ช่วยอาจารย์ นักศึกษาของ WGU จะเรียนด้วยตัวเอง
ระบบการศึกษาแบบ CBE นี้บังคับให้นักศึกษาแสดงผลการเรียนที่บ่งบอกถึงความเข้าใจในสิ่งที่เรียน หรือมีความสามารถตามที่หลักสูตร
นักศึกษาต้องพิสูจน์ว่ามีความสามารถที่เกี่ยวข้องกับสาขาที่เลือกเรียนเเละต้องเรียนเองโดยใช้ความรู้ที่มีอยู่เเล้วเกี่ยวกับวิชานั้นๆ นักศึกษายังต้องเข้าสอบเพื่อวัดผลการศึกษาปลายภาค เเละเมื่อสอบผ่านเเละมีความรู้ความสามารถตามข้อกำหนดของหลักสูตร นักศึกษาก็จะได้รับปริญญาบัตร
มาร์นี่ เบคเคอร์ สไตน์ (Marni Baker Stein) กล่าวว่า ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัย Western Governors University ในปี ค.ศ. 1997 รู้ว่าจะมีความต้องการเพิ่มขึ้นต่อวิธีเรียนการสอนระดับอุดมศึกษาที่แตกต่างไปจากเดิม
สไตน์ หัวหน้าฝ่ายวิชาการที่มหาวิทยาลัย WGU บอกว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีนักศึกษาแนวใหม่ซึ่งต่างจากนักศึกษาแบบดั้งเดิมมากจำนวนขึ้นที่เข้าเรียนในระดับอุดมศึกษา หลายคนตัดสินใจเรียนต่อมหาวิทยาลัยเมื่ออายุมากเเล้ว แทนที่จะเรียนต่อทันที่หลังเรียนจบมัยธมปลายอย่างที่ชาวอเมริกันส่วนใหญ่นิยม บางคนเป็นอดีตนักศึกษามหาวิทยาลัยที่เลิกเรียนกลางคัน จึงไม่ได้รับปริญญาบัตร
ในสหรัฐฯ มหาวิทยาลัยส่วนมากดำเนินการโดยมีกำหนดระยะเวลาชัดเจน การเรียนจะเริ่มขึ้นในช่วงปลายฤดูร้อนเเละเสร็จสิ้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิทุกปี
ปฏิทินของปีการศึกษาของมหาวิทยาลัยจะเเบ่งออกเป็น 2-3 เทอมการศึกษา เเต่ละเทอมยาวนานประมาณ 15 สัปดาห์
สไตน์ย้ำว่า ตามหลักสูตรในระบบ CBE นักศึกษาสามารถเริ่มเรียนเมื่อไรก็ได้ตามต้องการ หากนักศึกษาตั้งใจเรียนก็สามารถเรียนจบวิชานั้นๆได้ทันที่หลังจากสอบผ่านการวัดผลปลายภาค ซึ่งหมายความว่านักศึกษาสามารถเรียนจบได้ปริญญาบัตรเร็วกว่านักศึกษาเเบบดั้งเดิม
นักศึกษาของมหาวิทยาลัย WGU ไม่ต้องนั่งเรียนในชั้นเรียนกับอาจารย์ผู้สอนเป็นเวลาหลายชั่วโมงต่อสัปดาห์ แต่ Stein บอกว่า วิชาเเต่ละวิชามีผู้สอนหนึ่งถึงสองคนซึ่งจะสื่อสารกับนักศึกษาผ่านทางอินเตอร์เน็ท ผู้สอนเหล่านี้จะเเนะนำนักศึกษาในการเรียนด้วยตัวเองเเละเสนอความช่วยเหลือหากนักศึกษาต้องการ นอกจากนี้ยังมีสื่อการเรียนมากมายที่จะช่วยนักศึกษาเรียนด้วยตัวเองได้ดีขึ้น
สไตน์กล่าวอีกว่า นักศึกษาของมหาวิทยาลัย WGU มีตัวแทนมหาวิทยาลัยที่ให้ความช่วยเหลือนักศึกษาตลอดหลักสูตร และจะติดตามความคืบหน้าของนักศึกษาเเละช่วยดูว่านักศึกษาเลือกเรียนวิชาถูกต้อง
มหาวิทยาลัย Western Governors รายงานว่า ให้บริการเเก่นักศึกษามากกว่า 113,000 คน ทั้งในสหรัฐฯ เเละในต่างประเทศ เเละการเรียนตามระบบ CBE กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทั่วสหรัฐฯ
หลักสูตรการเรียนในระบบ CBE ได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ๆหลายอย่าง ซึ่งช่วยลดอุปสรรคแก่นักศึกษาด้วยการช่วยให้เข้าถึงการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย หลักสูตรเหล่านี้อนุญาตให้นักศึกษาเรียนได้เร็วขึ้นหากทำได้ ซึ่งช่วยนักศึกษาประหยัดเงินเพราะใช้เวลาน้อยลงในการเรียนให้จบจนได้ปริญญาบัตร
อย่างไรก็ตาม นักการศึกษาบางคนมีความกังวลเกี่ยวกับคุณค่าของหลักสูตรการศึกษาที่ระบบ CBE มีให้เลือกเรียน
โจแฮน นีม (Johann Neem) ศาสตราจารย์วิชาประวัติศาสตร์สหรัฐฯเเละนโยบายอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัย Western Washington University ในเบลลิงตัน รัฐวอชิงตัน เเย้งว่า จุดประสงค์ของอุดมศึกษาไม่ได้เเค่การช่วยให้นักศึกษาได้รับปริญญาบัตรเท่านั้น เเต่ควรสอนนักศึกษาให้รู้จักใช้ความคิดชั้นสูงเเละเข้าใจเนื้อหาวิชาที่เรียนอย่างถ่องเเท้ เเละเข้าใจว่าเกี่ยวข้องกับวิชาอื่นๆ อย่างไร ซึ่งนี่จะช่วยให้นักศึกษานำความรู้ที่ได้ไปใช้งานได้ดีขึ้น
เขากล่าวว่า นักศึกษาต้องเรียนผ่านการค้นคว้า การคิด ความผิดพลาด รับฟังความคิดเห็น ต้องดิ้นรนใช้ความพยายาม ทั้งหมดนี้ต้องใช้เวลาเเละต้องสร้างสัมพันธ์กับผู้อื่น
เขากล่าวเสริมว่า คุณภาพของการเรียนในระบบนี้อาจจะด้อยกว่าระบบทั่วไป แทนที่จะสนับสนุนการศึกษาในระบบ CBE นี้ ผู้ออกนโยบายและนักการศึกษาควรหาหนทางปรับปรุงการเข้าถึงการศึกษาขั้นสูง เเละลดค่าใช้จ่ายของการศึกษาระดับอุดมศึกษาระบบดั้งเดิมลง
(เรียบเรียงโดยทักษิณา ข่ายแก้ว วีโอเอภาคภาษาไทยกรุงวอชิงตัน)