การสำรวจความคิดเห็นประชาชนโดยสำนักข่าวรอยเตอร์ส/อิปซอส (Reuters/Ipsos) พบว่า กว่าครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามพอใจกับการปฏิบัติหน้าที่ผู้นำประเทศของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ในช่วง 100 วันแรกของการดำรงตำแหน่ง โดยสัดส่วนของผู้ที่แสดงความพึงพอใจครั้งนี้สูงกว่าที่ อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เคยได้รับมาตลอดช่วงเวลา 4 ปีด้วย
จากการสอบถามความเห็นประชาชนจำนวน 4,423 คน ระหว่างวันที่ 12 ถึง 16 เมษายนที่ผ่านมา ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่า ผู้ตอบแบบสอบถามราว 55 เปอร์เซ็นต์ พอใจกับผลงานของปธน.ไบเดน ขณะที่ 40 เปอร์เซ็นต์ไม่พอใจ และอีกประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ตอบว่า ไม่แน่ใจ
เมื่อดูในรายละเอียดของผลสำรวจ จะพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีความพึงพอใจต่อผลงานของผู้นำสหรัฐฯ คนปัจจุบันในด้านการจัดการเศรษฐกิจ การสร้างงาน การรับมือกับวิกฤตโคโรนาไวรัส ปัญหาความไม่เท่าเทียมกันทางเชื้อชาติ ปัญหาสิ่งแวดล้อม และการสร้างความสามัคคีในชาติ
ขณะเดียวกัน ผลงานของปธน.ไบเดน ที่มีผู้แสดงความไม่พอใจมากที่สุด คือ เรื่องของนโยบายตรวจคนเข้าเมือง ในช่วงเวลาที่รัฐบาลยังเผชิญปัญหาการหลั่งไหลเข้ามาอย่างหนักของผู้อพยพที่บริเวณพรมแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโกอยู่นี้
สำนักข่าว รอยเตอร์ส ให้ความเห็นว่า รัฐบาลของปธน.ไบเดน ได้เปรียบพอสมควรที่มีเวลาเตรียมตัวนานนับเดือนในการวางแผนการรับมือวิกฤตโควิด-19 ก่อนขึ้นรับตำแหน่ง ซึ่งเกิดขึ้นหลังวัคซีนโควิดเริ่มมีออกมาใช้บ้างแล้ว ขณะที่ ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่เป็นการเทียบกับสถานการณ์ช่วงการเกิดการระบาดใหญ่เมื่อปีที่แล้ว และมีผู้คนว่างงานหลายสิบล้านคน ทำให้สถิติในยุคของรัฐบาลชุดปัจจุบันดูดีได้ไม่ยากด้วย
อย่างไรก็ดี จูเลียน เซลิเซอร์ นักประวัติศาสตร์การเมืองจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน ให้ความเห็นว่า สัดส่วนของประชาชนที่พึงพอใจกับผลงานของปธน.ไบเดน ในการสำรวจครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงแรงสนับสนุนแผนงานใหญ่ต่างๆ ของรัฐบาล ซึ่งรวมถึง โครงการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจมูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่ ปธน.ไบเดน กำลังเร่งผลักดันแผนพัฒนาและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ และเตรียมที่จะเสนอปรับขึ้นอัตราภาษีสำหรับผู้มีฐานะเพื่อนำเงินไปจุนเจือโครงการช่วยดูแลเด็กและโครงการอื่นๆ สำหรับแรงงานอเมริกันอยู่