รายงานที่เผยแพร่เมื่อวันพุธระบุว่า อัตราการเกิดในสหรัฐฯ เมื่อปีที่แล้วลดลง 4 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นอัตราที่ลดลงมากที่สุดในรอบ 42 ปี และยังทำให้อัตราการเกิดในปีที่แล้วอยู่ในระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการเก็บสถิติมานานกว่าศตวรรษ
ศูนย์สถิติสุขภาพแห่งชาติ (National Center for Health Statistics) ซึ่งเป็นหน่วยงานของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ หรือ ซีดีซี ระบุว่า อัตราการเกิดทั่วไปลดลงในกลุ่มมารดาผู้ให้กำเนิดจากทุกเชื้อชาติ ทุกชาติพันธุ์ และทุกช่วงอายุ โดยอัตราการให้กำเนิดเหลืออยู่ที่ 55.8 ครั้ง ต่อผู้หญิงอายุ 14 - 44 ปี จำนวน 1,000 คน
รายงานดังกล่าวระบุว่า จำนวนการให้กำเนิดบุตรลดลงเหลืออยู่ที่ 3,605,201 ครั้ง ซึ่งเป็นจำนวนต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปีค.ศ. 1979 ลดลง 4 เปอร์เซ็นต์จากจำนวนเมื่อปีค.ศ. 2019 และเป็นจำนวนที่ลดต่ำลงโดยเฉลี่ยราว 2 เปอร์เซ็นต์ติดต่อกันเป็นปีที่หก โดยเมื่อปีค.ศ. 2007 จำนวนการให้กำเนิดในสหรัฐฯ อยู่ที่ 4.3 ล้านครั้ง
รายงานยังระบุด้วยว่า อัตราการให้กำเนิดในกลุ่มผู้หญิงอายุ 15-19 ปี ลดลง 8 เปอร์เซ็นต์จากปีค.ศ. 2019 ซึ่งเป็นอัตราการให้กำเนิดของหญิงในช่วงอายุดังกล่าวที่ลดลงติดต่อกันเป็นปีที่ 30
นอกจากนี้ กลุ่มสตรีชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียยังให้กำเนิดบุตรลดลง 8 เปอร์เซ็นต์ กลุ่มสตรีเชื้อสายลาตินอเมริกาให้กำเนิดบุตรลดลง 3 เปอร์เซ็นต์ กลุ่มสตรีผิวดำและผิวขาวให้กำเนิดบุตรลดลง 4 เปอร์เซ็นต์ และกลุ่มสตรีชาวอเมริกันพื้นเมืองให้กำเนิดบุตรลดลง 6 เปอร์เซ็นต์
สำหรับอัตราทารกที่คลอดก่อนกำหนด หรือคลอดหลังมารดาตั้งครรภ์ไม่เกิน 37 สัปดาห์ และมีขนาดตัวเล็ก ลดลงเล็กน้อยเหลือ 10 เปอร์เซ็นต์ หลังจากมีอัตราสูงขึ้นติดต่อกันมาห้าปีก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเหล่านี้ถือเป็นข้อมูลชั่วคราว เนื่องจากเป็นข้อมูลที่อ้างอิงจากบันทึกการเกิดเมื่อปีที่แล้ว 99.87 เปอร์เซ็นต์ โดยศูนย์สถิติสุขภาพแห่งชาติประมวลผลข้อมูลจนถึงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ของปีนี้ โดยเปรียบเทียบข้อมูลกับข้อมูลของปีค.ศ. 2019 และปีอื่น ๆ ก่อนหน้า