เศรษฐกิจของฟิลิปปินส์ในปีที่ผ่านมาโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เเละกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอฟประมาณว่า เศรษฐกิจฟิลิปปินส์ในปี ค.ศ. 2017 จะมีมูลค่าที่ 311,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ
Ernesto Abella โฆษกประธานาธิบดีฟิลิปปินส์กล่าวว่า ตั้งเเต่ขึ้นรับตำเเหน่งในเดือนมิถุนายนปีที่ผ่านมา ประธานาธิบดี Rodrigo Duterte ได้สร้างความร่วมมือใหม่ๆ หลายด้านกับจีน และส่งเสริมความสัมพันธ์กับญี่ปุ่น ซึ่งสนใจที่จะลงทุนในฟิลิปปินส์
เขาชี้ว่าความสำเร็จด้านความร่วมมือกับต่างประเทศนี้ เป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างรวดเร็ว
Rahul Bajoria นักเศรษฐศาสตร์ภูมิภาคแห่ง Barclays ในสิงคโปร์ กล่าวว่า หากดูในเเง่ของผลกระทบต่อจีนแล้ว ฟิลิปปินส์ยังคงเป็นประเทศที่พึ่งพาจีนทางเศรษฐกิจน้อยที่สุดในภูมิภาค เเต่เขากล่าวว่าในระยะยาว จีนจะมีบทบาททางเศรษฐกิจต่อฟิลิปปินส์มากขึ้นในช่วง 3 – 5 ปีข้างหน้า หากแผนความร่วมมือและความสัมพันธ์ทางการทูตของทั้งสองประเทศยังเดินหน้าต่อไป
นักวิเคราะห์เเห่ง Barclays กล่าวว่า การลงทุนต่างประเทศหลักๆ น่าจะมาจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ซึ่งอยู่จะเน้นที่ภาคโรงงานผลิตสินค้าและภาคการทำเหมือง
ผู้สื่อข่าววีโอเอรายงานว่า จีนได้สัญญาว่าจะให้ความช่วยเหลือมูลค่า 24,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ และบรรดานักเศรษฐศาสตร์คาดว่า ญี่ปุ่นจะลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรมในฟิลิปปินส์ และยังจะให้การสนับสนุนด้านการเงินแก่โครงการพัฒนาต่างๆ
โดยญี่ปุ่นเป็นชาติที่ลงทุนโดยตรงมากที่สุดในฟิลิปปินส์เมื่อปีที่แล้ว มูลค่าคิดเป็นเกือบ 29 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด
ในปี ค.ศ. 2017 ประธานาธิบดี Duterte ดูเทอร์เต้ ดำรงตำแหน่งเป็นประธานสมาคมอาเซียน (ASEAN) ซึ่งมีสมาชิกทั้งหมด 10 ชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และโฆษกประจำตัวของเขากล่าวกับสื่อมวลชนท้องถิ่นว่า บทบาทในฐานะประธานสมาคมอาเซียนนี้จะช่วยสร้างความสัมพันธ์กับต่างชาติเพิ่มมากขึ้น
อดีตประธานาธิบดี Benigno Aquino ได้เพิ่มมูลค่าการลงทุนด้านสาธารณูปโภคขึ้นไปเป็น 5 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศในปี 2016 เพื่อพัฒนาทางด่วน ระบบขนส่งมวลชน Metro Manila และทางรถไฟสายต่างๆ ในจังหวัดต่างๆ
นอกจากนี้ เขายังได้พยายามดึงดูดนักลงทุนผ่านโครงการที่เรียกว่า "China+1" ซึ่งเป็นโครงการที่เสนอผลประโยชน์ต่างๆ เเก่บริษัทต่างชาติที่ลงทุนอยู่เเล้วในจีน ให้เข้าไปขยายกิจการในฟิลิปปินส์แทน
Ernesto Pernia เลขาธิการด้านการวางเเผนด้านเศรษฐศาสตร์สังคมของฟิลิปปินส์ กล่าวในงานแถลงข่าวว่า ประธานาธิบดี Duterte ตั้งเป้าที่จะเน้นการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคในชนบทห่างไกลของฟิลิปปินส์
เขากล่าวว่า ทางการฟิลิปปินส์ยังเดินหน้าดำเนินการตามนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สืบเนื่องจากรัฐบาลชุดก่อนต่อไป เเต่ได้เพิ่มเงินลงทุนพัฒนาระบบสาธารณูปโภคมากขึ้น ส่งเสริมการพัฒนาระดับภาคและในชนบท ตลอดจนเน้นลงทุนอย่างเข้มเเข็งในด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งรวมทั้งด้านสุขภาพ การศึกษา และโภชนาการ
โดยปกติแล้ว เศรษฐกิจของฟิลิปปินส์พึ่งการบริโภคและเงินที่ส่งกลับบ้านโดยชาวฟิลิปปินส์ที่ีทำงานในต่างประเทศเป็นหลัก ตลอดจน call centers สำหรับบริษัทต่างชาติที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ต่างประเทศ
ผู้สื่อข่าววีโอเอรายงานว่า ความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษและค่าเเรงที่ต่ำ ช่วยดึงดูดให้บริษัทต่างชาติเข้าไปตั้ง call centers ในฟิลิปปินส์ และประมาณว่า call centers เหล่านี้ได้สร้างรายได้แก่ประเทศถึง 25,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ในปีที่ผ่านมา
ส่วนเงินที่เเรงงานชาวฟิลิปปินส์ในต่างประเทศส่งกลับบ้าน อยู่ที่ 14,600 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ในช่วงครึ่งปีเเรกของปีที่แล้ว
ธนาคารพัฒนาเอเชียหรือ ADB ในฟิลิปปินส์ คาดว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์ในปีที่ผ่าน อยู่ที่ 6.4 เปอร์เซ็นต์ และน่าจะอยู่ที่ 6.2 เปอร์เซ็นต์ในปี 2017 และชี้ให้เห็นว่า ฟิลิปปินส์เติบโตทางเศรษฐกิจเร็วกว่าประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมดตลอด 5 ปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์หลายคนเตือนว่าไม่ควรคาดหวังสูงนักต่อการลงทุนจากต่างประเทศ กฏหมายเกี่ยวกับการเป็นเจ้าของธุรกิจของบริษัทต่างประเทศทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่อยากลงทุนในอุตสาหกรรมบางประเภท รวมทั้งการทำเหมือง และเงินที่มาจากจีนอาจอยู่ในรูปของเงินกู้ หรืออาจจะเจาะจงว่ามอบให้โครงการบางอย่างตามความสนใจของจีน
ธนาคารโลกรายงานว่า เงินลงทุนโดยต่างจากต่างประเทศคิดเป็นเเค่ 2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นของผลิตภัณฑ์มวลรวมในปี 2015
(รายงานโดย Ralph Jennings / เรียบเรียงโดยทักษิณา ข่ายแก้ว)