เกาหลีเหนือยืนยันในวันพฤหัสบดีว่า เพิ่งทำการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปลี่ยนแปลงคำจำกัดความของเกาหลีใต้ให้เป็น “รัฐปรปักษ์” เป็นครั้งแรก โดยการเปิดเผยเรื่องนี้มีออกมาหลังกรุงเปียงยางสั่งระเบิดถนนและรางรถไฟเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านทางใต้ไป
ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า เกาหลีเหนือมีความตั้งใจที่จะยกระดับความเป็นอริกับเกาหลีใต้ให้หนักขึ้น ที่อาจนำไปสู่การปะทะกันที่แนวชายแดนของสองประเทศที่มีความตึงเครียดอยู่แล้ว แม้ว่าหลายฝ่ายจะเชื่อว่า เปียงยางยังไม่น่าจะทำการโจมตีแบบเต็มรูปแบบใด ๆ เนื่องจากสรรพกำลังทางทหารที่แข็งแกร่งกว่าของกองทัพกรุงโซลผนวกกับของสหรัฐฯ ที่เป็นพันธมิตรใกล้ชิด
สื่อ KCNA ของรัฐบาลเกาหลีเหนือรายงานในวันพฤหัสบดีว่า การทำลายส่วนเหนือของถนนเชื่อมต่อสองเกาหลีและรางรถไฟไปนั้นเป็น “มาตรการที่ชอบธรรมและหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งต้องดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีที่กำหนดชัดเจนว่า สาธารณรัฐเกาหลี เป็น “รัฐปรปักษ์”
กระทรวงรวมชาติในกรุงโซลประณามการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญนี้ของเกาหลีเหนือให้มาเรียกเกาหลีใต้ว่าเป็นรัฐปรปักษ์ และเรียกการกระทำนี้ว่าเป็น “การต่อต้านชาติและต่อต้านการรวมชาติ” อย่างหนึ่ง พร้อมระบุว่า รัฐบาลเกาหลีใต้จะโต้ตอบการยั่วยุต่าง ๆ ของเกาหลีเหนืออย่างจริงจัง และเดินหน้าอย่างแน่วแน่ให้มีการรวมชาติอย่างสันติบนพื้นฐานของหลักการด้านเสรีภาพและประชาธิปไตย”
รัฐสภาเกาหลีเหนือที่เป็นเหมือนสภาตรายางเปิดประชุมเป็นระยะเวลา 2 วันเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่สื่อรัฐเปียงยางไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่มีการพูดในที่ประชุมดังกล่าว
ก่อนหน้านี้ คิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ เรียกร้องระหว่างร่วมประชุมรัฐสภาให้มีการแก้ไขกฎหมายสูงสุดของประเทศเพื่อประกาศให้เกาหลีใต้มีสถานะเป็นศัตรูสำคัญ และยกเลิกเป้าหมายการรวมชาติเกาหลีโดยสันติ รวมทั้งปรับแก้คำจำกัดความเกี่ยวกับอาณาเขตและอธิปไตยของเกาหลีเหนือด้วย
ทั้งนี้ รายงานของ KCNA ในวันพฤหัสบดีไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญที่มีการแก้ไขนี้ ยกเว้นแต่ประเด็นเกาหลีใต้
อันกิต พานดา ผู้เชี่ยวชาญจาก Carnegie Endowment for International Peace ในสหรัฐฯ ให้ความเห็นว่า เกาหลีเหนือน่าจะกำลังทำการทบทวนแผนงานโฆษณาชวนเชื่อของตนเพื่อหาวิธีที่เหมาะสมในการเปิดเผยรายละเอียดการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก่อนที่จะมีการยืนยันทุกอย่างออกมาในอนาคต
ทั้งนี้ คำสั่งของคิมเมื่อเดือนมกราคมให้มีการแก้ไขกฎหมายสูงสุดของประเทศทำให้ผู้เชี่ยวชาญต่างชาติหลายรายแปลกใจมาก เพราะนี่เป็นเหมือนการประกาศยกเลิกแนวความคิดที่จะประสานสองประเทศที่ต้องแยกจากกันในสงครามเมื่อราว 70 ปีก่อนและยังเป็นการละทิ้งความฝันของบรรพบุรุษที่ปรารถนาจะได้เห็นการรวมชาติอย่างสันติภายใต้เงื่อนไขของเกาหลีเหนือ
ผู้เชี่ยวชาญบางคนมองว่า คิมน่าจะมุ่งเป้ากีดกันอิทธิพลทางวัฒนธรรมของเกาหลีใต้และยกระดับการปกครองแบบราชวงศ์ของตระกูลคิม ขณะที่ บางรายกล่าวว่า ผู้นำเปียงยางน่าจะต้องการช่องทางทางกฎหมายเพื่อใช้อาวุธนิวเคลียร์กับเกาหลีใต้ด้วยการประกาศให้เพื่อนบ้านนี้เป็นศัตรูต่างชาติไปเสีย แทนที่จะเป็นหุ้นส่วนของแผนงานรวมชาติ
เลฟ-เอริค อีสลีย์ ศาสตราจารย์ด้านศึกษานานาชาติจากมหาวิทยาลัยอีฮวา ในกรุงโซล กล่าวเสริมว่า “เกาหลีเหนือล้าหลังตามเกาหลีใต้ไม่ทันอย่างมากเสียจนทำให้มองว่า การแลกเปลี่ยนทางสังคมหรือการบูรณการภาคการเงินนั้น ดูจะเป็นหนทางสู่การรวมชาติด้วยการดูดกลืนเสียแล้ว” และว่า “การที่เปียงยางปฏิเสธการรวมชาติเกาหลีก็เป็นยุทธศาสตร์เพื่อความอยู่รอดของรัฐบาลและเพื่อคงไว้ซึ่งอำนาจการควบคุมประเทศ นี่ไม่ใช่เป็นเพียงนิมิตหมายที่ไม่ดีต่อประชาธิปไตยเท่านั้น แต่ยังอาจกลายมาเป็นคตินิยมที่ใช้จูงใจให้เกิดการใช้กำลังทหารรุกรานกรุงโซลได้ด้วย”
- ที่มา: เอพี
กระดานความเห็น