กองทัพเมียนมาประกาศมาตรการเคอร์ฟิวในกรุงเนปิดอว์และนครย่างกุ้ง หลังจากการเดินขบวนของประชาชนเมียนมาเป็นวันที่สามติดต่อกัน เพื่อต่อต้านการยึดอำนาจการบริหารจากรัฐบาลพลเรือนที่นำโดยนางออง ซาน ซู จี
ขณะเดียวกัน สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ผู้นำกองทัพเมียนมาได้ออกมากล่าวต่อประชาชนในวันจันทร์ว่าจะคืนอำนาจให้แก่ผู้ชนะการเลือกตั้งครั้งหน้า
พลเอก มิน อ่อง ลาย กล่าวปราศรัยทางโทรทัศน์เป็นครั้งแรกหลังเกิดเหตุการณ์ยึดอำนาจเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยเน้นย้ำว่าการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมามีการทุจริตเกิดขึ้น แต่มิได้ระบุว่าจะจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่เมื่อใด
ประชาชนในหลายเมืองใหญ่ของเมียนมาออกมาเดินขบวนต่อต้านกองทัพเป็นวันที่สามติดต่อกัน รวมทั้งในกรุงเนปิดอว์ และนครย่างกุ้ง ซึ่งการชุมนุมส่วนใหญ่เป็นไปอย่างสงบ แตกต่างจากการประท้วงใหญ่เมื่อปี ค.ศ. 1988 และ 2007 ที่มีรายงานผู้เสียชีวิตหลายร้อยคน
ที่กรุงเนปิดอว์ ผู้ประท้วงต่างตะโกนคำขวัญต่อต้านกองทัพเมียนมา พร้อมชูป้าย “ปกป้องเมียนมา” และ “เราต้องการประชาธิปไตย” รวมทั้งรูปถ่ายของนางออง ซาน ซู จี ผู้ถูกจับกุมตัวไปตั้งแต่วันจันทร์ที่แล้วและเผชิญข้อกล่าวหาเรื่องการนำเข้าและใช้วิทยุสื่อสาร "วอล์คกี้ทอล์คกี้" อย่างผิดกฎหมาย หลังจากเจ้าหน้าที่บุกค้นบ้านพักของเธอในกรุงเนปิดอว์และพบวิทยุดังกล่าว
ผู้ประท้วงจำนวนมากชูสามนิ้วเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านระบอบเผด็จการซึ่งถูกนำมาใช้ในหลายประเทศ ขณะที่มีรายงานว่าตำรวจใช้หัวฉีดน้ำแรงดันสูงเพื่อสลายกลุ่มผู้ชุมนุม และมีการขู่ว่าจะใช้กระสุนจริง แต่ไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บ
และในวันจันทร์ บรรดาข้าราชการ พนักงานการรถไฟ คุณครูและพนักงานในอุตสาหกรรมต่าง ๆ พากันประท้วงหยุดงานทั่วประเทศ
ขณะเดียวกัน มีรายงานว่าเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในเมียนมาเริ่มกลับมาใช้งานได้อีกครั้งหลังจากถูกตัดบริการไปเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้มีรูปถ่ายและวิดีโอการประท้วงในเมียนมาถูกโพสต์และแชร์อย่างแพร่หลายในโลกออนไลน์
กองทัพเมียนมาประกาศใช้ภาวะฉุกเฉินเป็นเวลาหนึ่งปี หลังจากที่ควบคุมตัวนางออง ซาน ซู จี และสมาชิกระดับสูงของพรรคเอ็นแอลดีไว้เมื่อวันจันทร์ที่แล้ว จากข้ออ้างว่ามีการโกงการเลือกตั้งครั้งใหญ่
และถึงแม้ผู้สังเกตการณ์เลือกตั้งทั้งจากต่างประเทศและในระดับท้องถิ่นจะชี้ว่ามีการจำกัดสิทธิของผู้เลือกตั้งบางกลุ่ม รวมทั้งการทำงานของคณะกรรมการการเลือกตั้งเมียนมาอาจไม่เป็นกลางเท่าที่ควร แต่หลายฝ่ายก็เห็นว่า ผลการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปลายปีที่แล้วนี้สะท้อนเจตจำนงค์ของชาวเมียนมาส่วนใหญ่
