การประท้วงต่อต้านรัฐประหารในเมียนมายังเดินหน้าต่อเนื่องในพื้นที่หลายเมืองของประเทศ ขณะที่การปราบปรามโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงส่งผลให้มีผู้ชุมนุมอย่างน้อยอีก 2 รายเสียชีวิตในวันอังคาร
องค์กรสิทธิมนุษยชน Assistance Association for Political Prisoners หรือ AAPP รายงานว่า นับตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันที่กองทัพเมียนก่อรัฐประหารและยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนมา มีประชาชนพลเรือนเสียชีวิตไปแล้วไม่น้อยกว่า 512 คน จากเงื้อมมือของกองกำลังความมั่นคง
รายงานข่าวยืนยันว่า ขณะที่ผู้ประท้วงในนครย่างกุ้งเลือกใช้กองขยะเป็นอาวุธโจมตีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง กองกำลังเดียวกันได้รุกหนักเพื่อสลายผู้ชุมนุมในเมืองเกาะสองทางภาคใต้ของประเทศ ก่อนจะยิงชายคนหนึ่งเสียชีวิต
มีรายงานด้วยว่า เจ้าหน้าที่ความมั่นคงสังหารผู้ประท้วงอีกรายในเมืองมิตจีนา ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเมียนมา ในวันอังคารเช่นกัน
ทั้งนี้ กองกำลังชนกลุ่มน้อย 3 กลุ่มของเมียนมา อันได้แก่ กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติตะอาง กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติตะอาง และ กองทัพยะไข่ ร่วมกันออกแถลงการณ์ที่ระบุว่า หากรัฐบาลทหารเมียนมายังเดินหน้าใช้ความรุนแรงและสังหารประชาชนต่อไป ทั้งหมดจะเข้าร่วมมือกับผู้ประท้วงและต่อสู้กับทหารในเร็วๆ นี้
เหตุความรุนแรงที่ยังเกิดขึ้นต่อเนื่องในเมียนมา ที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจากเหตุประท้วงทั่วประเทศทั้ง 14 ราย เมื่อวันจันทร์ ทำให้สหรัฐฯ ประกาศระงับข้อตกลงการค้าที่ทำกับเมียนมาไว้จนกว่า ประชาธิปไตยจะกลับคืนมาสู่ประเทศนี้
แคเธอรีน ไท ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ระบุในแถลงการณ์ว่า “สหรัฐฯ ขอสนับสนุนประชาชนชาวพม่า ที่พยายามช่วยรัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งมากลับคืนสู่อำนาจ” พร้อมกล่าวว่า การที่กองทัพเมียนมาสังหารผู้ประท้วงที่ชุมนุมอย่างสันตินั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ประชาคมโลกช็อกอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม การประกาศระงับข้อตกลงนี้ไม่มีผลให้การค้าขายระหว่างสหรัฐฯ และเมียนมายุติลง เพียงแต่เป็นการพักการบังคับใช้ข้อตกลงกรอบการค้าและการลงทุนปี ค.ศ. 2013 ที่มีผลให้สหรัฐฯ ต้องลดภาษีนำเข้าและเปิดช่องทางพิเศษให้กับสินค้าจากประเทศกำลังพัฒนาบางประเทศเท่านั้น
